
คดีพิพาทซึ่งยืดเยื้อมานาน ระหว่างกองทัพเรือและกลุ่มกิจการค้าร่วมบริษัทธนโฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร หรือกลุ่มซีพี ในการประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก หรือ Eastern Airport City วงเงินกว่า 2.9 แสนล้านบาท เดินทางมาถึงบทสรุปแล้ว เมื่อศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาชี้ขาดในวันที่ 10 มกราคมนี้
โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้วงเงินลงทุนสูงสุดในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี และโครงการนี้ยืดเยื้อมากว่า 9 เดือน นับตั้งแต่กองทัพเรือเปิดให้เอกชนยื่นซองประมูลเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2562 ซึ่งมีเอกชน 3 รายยื่นข้อเสนอประมูล
แต่กลุ่มซีพีเป็นเอกชนเพียงรายเดียวที่ยื่นข้อเสนอบางส่วนล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้ และคณะกรรมการคัดเลือกเอกชน ซึ่งมีผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือเอกลือชัย รุดดิษฐ์ เป็นประธาน มีมติไม่รับพิจารณาข้อเสนอที่ยื่นเกินเวลา การตัดสินใจของคณะกรรมการคัดเลือกฯถือเป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ TOR แต่กลุ่มซีพีไม่ยอมรับการตัดสิน และนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลปกครอง โดยระบุว่าคณะกรรมการคัดเลือกฯ กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้กลุ่มซีพีได้รับความเสียหาย
ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้อง เพราะเห็นว่าเอกสารดังกล่าวมาถึงสถานที่รับซองหลังจากเวลาที่กำหนดคือ 15.00 น. คณะกรรมการคัดเลือกฯจึงไม่สามารถยกเว้นให้เอกชนรายใดรายหนึ่งได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเลือกปฎิบัติ และทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม แต่กลุ่มซีพียังคงไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง และยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด โดยระบุว่า การยอมให้กลุ่มซีพียื่นข้อเสนอให้ครบถ้วนย่อมก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับรัฐมากกว่าการยึดถือเวลาเพียง 9 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่ยื่นเอกสารล่าช้ากว่ากำหนด
การไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาล ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า เหตุใดเอกชนรายใหญ่อย่างกลุ่มซีพี ที่เพิ่งคว้าชัยชนะในการประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูง หรือไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน หนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานหลักของ EEC จึงไม่ยอมรับกฎกติกาในการประมูล ซึ่งเป็นกติกาสากลและใช้บังคับกับเอกชนทุกรายที่ร่วมประมูล ทั้งที่การประมูลไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน ก็ใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกันนี้
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น คือคำชี้แจงต่อศาลปกครองสุงสุดของพลเรือตรีเกริกไชย วจนาภรณ์ เลขานุการคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ ซึ่งระบุชัดเจนว่า ผู้เข้าประมุลรายอื่นสามารถยื่นเอกสารได้ภายในเวลาที่กำหนด ขณะที่กลุ่มซีพีกลับอ้างปัญหาการจราจรติดขัด พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีการปรับเปลี่ยนเอกสารในช่วงสุดท้ายก่อนจะยื่นต่อคณะกรรมการคัดเลือกฯ เพราะกลุ่มซีพีได้ทยอยนำเอกสารมาถึง 3 ครั้ง แต่ข้อเสนอด้านราคามาทีหลัง ซึ่งอาจเป็นเพราะการมารอบแรกและรอบสองเป็นการมาประเมินคู่ต่อสู้ เพื่อจะแก้ไขเอกสารหรือไม่
พลเรือตรีเกริกชัย ย้ำว่า หากศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าเรื่องเวลาไม่ใช่สาระสำคัญ โดยกลับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นและคืนสิทธิให้กลุ่มซีพี ทั้งที่ก่อนก่อนหน้านี้เคยวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานให้หน่วยงานภาครัฐ ในคดีการประมูลก่อสร้างทางหลวงชนบท โดยตัดสิทธิผู้เข้าประมูลที่ยื่นซองหลังกำหนดปิดรับซองไป 39 วินาที จะเท่ากับเป็นการทำลายระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และอาจทำให้เกิดค่านิยมว่าต่อไปใครจะมายื่นซองเวลาใดก็ได้หากให้ผลตอบแทนรัฐสูง แม้ทำผิดกฎ แต่มีเงินจ้างทนายเก่ง และให้ประโยชน์รัฐมาก ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้งาน เพราะเงินชดเชยความผิดได้
ขณะที่ผลประโยชน์ของโครงการนี้ไม่สามารถคิดได้เฉพาะในเรื่องของตัวเงิน แต่ต้องดูในเรื่องของความยุติธรรมที่จะเกิดขึ้นด้วย ต่อไปเอกชนที่เข้าประมูลโครงการของรัฐจะไม่สนใจเรื่องเวลาการยื่นซองประมูล จะมีการประเมินกำลังของคู่แข่ง มีการหาข่าวเพื่อสร้างความได้เปรียบ การคืนสิทธิให้กับกลุ่มซีพีจะทำให้เกิดปัญหาบั่นทอนกำลังใจของข้าราชการ และผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ
คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 10 มกราคม 2563 นี้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอาจส่งผลให้เกิดบรรทัดฐานใหม่ในการประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ