"ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ)ได้มีส่วนส่งเสริมให้การส่งออกทุเรียนของไทยเติบโตเพราะช่วยขจัดอุปสรรคภาษีนำเข้าในประเทศคู่ค้า ทำให้ทุเรียนไทยได้แต้มต่อจึงมีโอกาสในการส่งออกและแข่งขันมากขึ้นโดยปัจจุบันทุเรียนไทยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าใน 16 ประเทศคู่ค้าที่ไทยมีเอฟทีเอด้วยได้แก่ จีน ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซียสปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา ฟิลิปปินส์ บรูไน อินเดีย ชิลี และเปรู เหลือเพียง 2ประเทศ คือ มาเลเซียและเกาหลีใต้ ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าทุเรียนจากไทยแต่ได้ปรับลดอัตราภาษีลง โดยมาเลเซียเก็บที่ 5% เกาหลีใต้ปรับภาษีนำเข้าลงจาก 45%เหลือ 36% แล้ว"
ทั้งนี้ การส่งออกทุเรียนที่เพิ่มขึ้นยังสอดคล้องกับสถิติการใช้สิทธิประโยชน์จากเอฟทีเอในการส่งออก โดยพบว่าทุเรียนเป็นสินค้าที่ผู้ประกอบการขอใช้สิทธิประโยชน์ในการส่งออกสูงมากเป็นอันดับต้นโดยเฉพาะในการส่งออกไปจีนและอาเซียน ที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยและมีสัดส่วนการส่งออกทุเรียนไปยังสองตลาดนี้ คิดเป็น 79%ของการส่งออกทุเรียนทั้งหมดของไทย
อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบการส่งออกทุเรียนของไทยไปจีนในปี 2561 กับปี 2545ซึ่งเป็นปีก่อนหน้าที่จีนยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าทุเรียนจากไทยภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีนพบว่า มูลค่าเพิ่มขึ้นจากไม่มีการส่งออกเลยเป็น 418.4 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 41,840%และส่งออกไปอาเซียนเพิ่มขึ้นจากปี 2535ซึ่งเป็นปีก่อนที่อาเซียนจะลดภาษีนำเข้าทุเรียนภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียนมีมูลค่าเพิ่มจาก 3.7 ล้านดอลลาร์ เป็น315.1 ล้านดอลลาร์ ในปี 2561 เพิ่มขึ้น 8,416%
ปัจจุบันผู้บริโภคได้หันมาบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพกันมากขึ้นทำให้การค้าผลไม้มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากผลไม้สดแล้วคาดการณ์ว่าตลาดผลไม้แปรรูปในลักษณะขนมขบเคี้ยว จะขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นเช่นกันจึงเป็นโอกาสทองที่เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยจะเพิ่มรูปแบบสินค้าส่งออกเป็นผลิตภัณฑ์ทุเรียนแปรรูปเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
"เพื่อให้สินค้าทุเรียนของไทยครองความเป็นหนึ่งในตลาดได้อย่างยั่งยืนเกษตรกรและผู้ประกอบการควรรักษามาตรฐานสินค้าและพัฒนาคุณภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การเพาะปลูก การบรรจุหีบห่อ และมีใบรับรองสุขอนามัยพืชรวมทั้งควรลดการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงเนื่องจากปัจจุบันตลาดในหลายประเทศมีความเข้มงวด ประกอบกับผู้บริโภคนิยมผลไม้ปลอดสารพิษหรือเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น"