สหรัฐฯ ย้ำ ต้องบังคับให้ผู้นำอิหร่านเปลี่ยนพฤติกรรม

ในขณะที่ทางด้านอิหร่าน ยิงสอยโดรนของกองทัพเรือสหรัฐฯ และเอาซากมาโชว์กับสื่อมวลชน เมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา จนถึงขั้นที่ประธานาธิบดี ทรัมป์ สั่งโจมตีทางอากาศเพื่อแก้แค้น ก่อนจะยกเลิกปฏิบัติการในนาทีสุดท้าย โดยอ้างว่าไม่อยากให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายมากเกินไป


ขณะที่ความเคลื่อนไหวดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้นเมื่อทางด้านอังกฤษได้จับกุมเรือบรรทุกน้ำมันของอิหร่าน บริเวณช่องแคบยิบรอลต้าร์ ขณะที่อิหร่านก็เอาคืนด้วยการจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันของอังกฤษบริเวณช่องแคบเฮอร์มุซ บ้าง

ทางด้านโมฮัมหมัด จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน กล่าวระหว่างเยือนสำนักงานใหญ่สหประชาชาติว่า สิ่งที่สหรัฐฯ กำลังกระทำต่ออิหร่าน นั้นเป็นการก่อการร้ายทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ ซึ่ง รมว.ต่างประเทศอิหร่านได้หมายถึงมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่มีต่ออิหร่านเพียงฝ่ายเดียวนั่นเอง


หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่าสถานการณ์ความรุนแรงจะลุกลามบานปลายมากยิ่งขึ้น ก็มีการเสนอให้ทั้งสองประเทศนั้นหันเข้าสู่โต๊ะเจรจา ซึ่งล่าสุดทางด้าน ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุ ว่าตนยินดีที่จะไปเยือนกรุงเตหะราน ของอิหร่าน เพื่อช่วยบรรเทาความตึงเครียดอันเกิดจากการที่สหรัฐฯ รื้อฟื้นมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้ง โดย ปอมเปโอ เผยกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า ตนพร้อมจะให้สัมภาษณ์สื่อโทรทัศน์ของอิหร่านเพื่ออธิบายว่าทำไมสหรัฐฯ จึงต้องรื้อฟื้นบทลงโทษทางเศรษฐกิจที่มีต่ออิหร่าน

ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้ระบุว่าจุดมุ่งหมายของสหรัฐฯ ก็คือการ ทำให้ตะวันออกกลางมีเสถียรภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สหรัฐฯ จึงจำเป็นที่จะต้องถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ และ บังคับให้อิหร่านต้องปฎิบัติตัวอย่างไร ด้วยการกดดันอย่างต่อเนื่อง เขายังย้ำว่า สหรัฐฯ ต้องการให้ผู้นำอิหร่านปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อให้ประชาชนชาวอิหร่านได้รับในสิ่งที่พวกเขาสมควรจะได้

ก่อนหน้านี้ทางด้าน ประธานาธิบดี ฮัสซัน รูฮานี ของอิหร่าน ได้ออกมาระบุเช่นกันว่าทางด้านอิหร่านพร้อมสำหรับการเจรจา แต่นั่นไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้
"ตราบเท่าที่ผมต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ผู้บริหารของประเทศ เราก็พร้อมสำหรับการเจรจาต่อรองเพื่อแก้ปัญหาอย่างซื่อตรงและถูกกฏหมาย แต่เราจะไม่เจรจาหากว่าการเจรจานั้นหมายถึงการยอมแพ้ หรือการอยู่ภายใต้อำนาจของสหรัฐฯ"

ขณะที่ก่อนหน้านี้ทางด้านเจ้าหน้าที่กระทรวงข่าวกรองอิหร่าน บอกเรื่องนี้กับสื่อมวลชน ว่าหน่วยงานความมั่นคงประสบความสำเร็จในการทลายเครือข่ายสายลับของ CIA ส่งผลให้บรรดาคนที่ทรยศต่อประเทศอย่างจงใจ ถูกส่งตัวไปยังศาลยุติธรรม บางคนถูกตัดสินประหารชีวิตและถูกจำคุกระยะยาว ผู้ต้องสงสัยเหล่านี้ถูกจับกุมระหว่างเดือนมีนาคม 2018 ถึงเดือนมีนาคม 2019


ในการแถลงข่าวมีการแจ้งว่ามีคนถูกชักชวนให้เป็นสายลับของสหรัฐฯ แต่ทว่าอิหร่านได้ผนึกกำลังกับทางด้านพันธมิตรต่างประเทศ แต่ไม่ได้ระบุว่ามีประเทศใดบ้าง แต่ในการแถลงข่าวมีการระบุตัวตนของสายลับทั้ง 17 คน โดยทั้งหมดเป็นช่าวอิหร่าน หน่วยข่าวกรองของอิหร่านยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าคนเหล่านี้หลงเชื่อทางด้าน CIA ของสหรัฐฯ ว่าจะดำเนินการจัดทำวีซ่าให้พวกเขาเดินทางเข้าสหรัฐฯ ทันทีหากเกิดเหตุในการติดตามจับกุม ยังมีการสอนให้มีการตั้งค่าความปลอดภัยระดับสูงในการสื่อสารระหว่างกัน นอกจากนั้น CIA ยังได้สั่งการให้ทั้งหมดรีบทำลายหลักฐานเอกสาร ทั้งหมดเมื่อถูกบุกเข้าจับกุม และถูกสั่งให้ไปบริเวณช่องทางฉุกเฉินบริเวณพรมแดน ที่มีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ทว่าท้ายที่สุดทั้งหมดก็ถูกจับกุม


ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ รีบออกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อคำกล่าวอ้างของอิหร่าน ว่าสหรัฐฯ ไม่รู้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวทั้งสิ้น

ดังนั้นการที่ทางด้าน ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จะเดินทางไปอิหร่านนั้นยังไม่ได้กำหนดว่าเมื่อไหร่ และ ที่สำคัญทางด้านอิหร่าน จะต้อนรับหรือไม่ เพราะ การแถลงของทางด้าน ไมค์ ปอมเปโอ ยังคงมีสิ่งที่คงสร้างความค้างคาใจให้กับอิหร่านพอสมควร ที่บอกว่า สหรัฐฯ จึงจำเป็นที่จะต้องถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ และ บังคับให้อิหร่านต้องปฎิบัติตัวอย่างไร ด้วยการกดดันอย่างต่อเนื่อง เขายังย้ำว่า สหรัฐฯ ต้องการให้ผู้นำอิหร่านปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะพฤติกรรมแบบนี้ของสหรัฐฯ เป็นการครอบงำการบริหารประเทศของอิหร่านอย่างชัดเจน ดังนั้นเชื่อได้แน่ว่าอิหร่านจะไม่เปิดรับปอมเปโอ ถ้าหากยังคงมีเงื่อนไขที่จะคงการคว่ำบาตรอิหร่าน และเล่นงานอิหร่านเพียงฝ่ายเดียวต่อไป


สถาพร เกื้อสกุล 26-07-2562
อ่านบทความอื่น ๆ ที่นี่ .. https://www.nationtv.tv/main/columnist/59/