
โดยรัฐบาลจะต้องร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชน ในการออกกฎระเบียบที่เอื้ออำนวยต่อการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด เพราะที่ผ่านมาแม้รัฐบาลจะผลักดันให้ไทยก้าวสู่สังคมไร้เงินสด มีการส่งเสริมการทำธุรกรรมทางการเงินแบบพร้อมเพย์ (promptpay) และมาตรการสนับสนุนอีคอมเมิร์ซ แต่บางหน่วยงานกลับออกระเบียบที่ยังเป็นอุปสรรค เช่น การให้รายงานธุรกรรมทางการเงินที่มียอดฝากหรือโอนรวมกันทุกบัญชี 3,000 ครั้ง/ปี เป็นต้น
ทั้งนี้ หากทุกหน่วยงานร่วมมือกันมีการออกมาตรการสนับสนุนที่สอดคล้องกัน เชื่อว่าภายใน 5-10 ปี ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดได้เพิ่มมากขึ้น อาจผลักดันได้ถึงสัดส่วนเกือบ 50% แต่ยังคงไม่ใช่สังคมไร้เงินสดแบบเต็มรูปแบบ 100% เป็นเพียงสังคมใช้เงินสดน้อยลง เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวทั้งคนในประเทศ และการวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับสังคมไร้เงินสด
สำหรับปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้ไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเพิ่มมากขึ้น มาจากการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยในปัจจุบัน ที่มีมูลค่าตลาด (B2C) สูงถึง 2 แสนล้านบาท หรือเติบโตมากสุดในอาเซียน แต่ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1-2% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมด ดังนั้นจึงมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีกมาก จากเฉลี่ยช่วง 5 ปีที่ผ่านมามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีอัตราขยายตัวเฉลี่ยตั้งแต่ 50-120% ซึ่งเมื่อตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตมากขึ้น การทำธุรกรรมทางการเงินแบบไร้เงินสดก็จะเติบโตตามมา
ขณะที่ การทำธุรกิจรับชำระเงินของทูซีทูพี เชื่อว่าจะเป็นส่วนสนับสนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทย และการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดได้ด้วยอีกทาง โดยปี 2562 ทูซีทูพี ตั้งเป้ามีรายได้ตลาดในไทย 950 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปี 2561 ที่มีรายได้ 700 ล้านบาท ซึ่งรายได้ของบริษัทสัดส่วน 70-80% มาจากธุรกิจรับชำระเงินออนไลน์ อีก 20% เป็นการให้บริการกับทางกลุ่มลูกค้าธนาคาร