คำถามคือ อีก 20 พรรคที่เหลือ มีเก้าอี้ให้แย่งชิงกันแค่ 15 ตัวเท่านั้น เต็มที่ไม่เกิน 17 หรือ 18 จากการเจรจารอบแรก พรรคภูมิใจไทยได้โควต้า 7 เก้าอี้ และพรรคประชาธิปัตย์ได้โควต้า 6 เก้าอี้ แต่ทั้งสองพรรคไม่ได้กระทรวงที่ต้องการ ส่วนประชาธิปัตย์อยากได้กระทรวงเกษตรฯ คลัง และกระทรวงเศรษฐกิจอื่นๆ เพื่อผลักดันนโยบายประกันรายได้ รวมทั้งรองรับขุนพลระดับแคนดิตเดตหัวหน้าพรรคอย่าง คุณกรณ์ จาติกวณิช ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่ก็ติดที่พรรคพลังประชารัฐรวบไว้หมด
ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา ก็ได้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แค่ 2 กระทรวง ก็ทำท่าไม่พอใจเหมือนกัน ทำให้ 3 พรรคขนาดกลางที่คร่ำหวอดการเมืองมานาน ขู่จับมือกันตั้ง "ขั้วการเมืองใหม่" ชิงจัดตั้งรัฐบาล เพราะมีเสียงสนับสนุนรวมกัน 113 เสียง พร้อมเจรจากับพรรคการเมืองอื่นเพื่อมาเติมให้เกินกึ่งหนึ่งต่อไป
ล่าสุดมีข่าวจากแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ยอมรับว่า พรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และชาติไทยพัฒนา ไม่พอใจการแบ่งโควต้ารัฐมนตรีจริง เพราะแกนนำพรรคพลังประชารัฐไม่ยอมปล่อยเก้าอี้กระทรวงหลักและกระทรวงเศรษฐกิจให้พรรคอื่น จนกลายเป็นอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล จึงเชื่อว่าหลังจากนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อาจต้องลงมาเกลี่ยตำแหน่งเอง เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลเดินหน้าไปได้
นอกจากนั้นยังมีพรรคการเมืองบางพรรคยื่นเงื่อนไขใหม่ว่า ยอมให้คนจาก คสช.ร่วมอยู่ใน ครม.ใหม่ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น คือ นายกฯ ลุงตู่ ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ส่วน คสช.คนอื่นๆ ไม่ต้อนรับ ทั้ง "บิ๊กป้อม" "บิ๊กป๊อก" และคนอื่นๆ ใน คสช. เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และทำให้เกิดภาพการสืบทอดอำนาจชัดเจนเกินไป รวมถึงบางรายยังมีปัญหาเก่าที่เคลียร์ไม่จบ โดยเฉพาะตัว พลเอกประวิตร ในเรื่องบัญชีทรัพย์สินและครอบครองนาฬิกาหรู