svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

(คลิปข่าว) ฟันธง Blind Trust ไม่แก้ผลประโยชน์ทับซ้อน

คำแถลงของคุณธนาธรที่ประกาศโอนหุ้นให้ Blind Trust บริหารจัดการแทน โดยอ้างว่าเป็นมาตรฐานใหม่ของนักการเมืองไทย ไม่เคยมีใครทำมาก่อนนั้น ยังถูกตั้งคำถามจากหลายฝ่าย นอกเหนือจาก "นักร้อง" อย่างคุณศรีสุวรรณ

ประเด็นที่ถูกตั้งคำถามมี 2 ประเด็น คือ

หนึ่ง Blind Trust มีในประเทศไทยจริงหรือไม่กับ สอง คุณธนาธรทำเรื่องดีๆ แบบนี้เป็นคนแรกในเมืองไทยหรือเปล่าวันนี้ "ล่าความจริง" มีคำตอบมาฝาก

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจความหมายของ Blind Trust กันก่อน นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ คุณภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ อธิบายให้ "ล่าความจริง" ฟังว่า Blind Trust มีลักษณะคล้ายๆ Private Fund หรือ "กองทุนส่วนบุคคล" ที่บริหารจัดการทรัพย์สินแทนบุคคลอื่น เพียงแต่เจ้าของทรัพย์สินจะไม่สามารถรับรู้ขั้นตอนการลงทุน ตลอดจนผลตอบแทน ตามเงื่อนไขระยะเวลาที่กำหนด ขณะที่ Private Fund ทั่วๆ ไป เจ้าของทรัพย์สินจะสามารถรับรู้ขั้นตอนการลงทุนและผลตอบแทนได้ตลอดเวลา เพียงแต่ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจในการลงทุน

นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ อธิบายต่อว่า ประเทศไทยยังไม่มี Blind Trust มีแต่ร่างกฎหมายทรัสต์ซึ่งยังไม่ผ่านสภา อยู่ในแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉะนั้นสิ่งที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ดำเนินการ น่าจะมีลักษณะคล้าย Private Fund แต่เพิ่มข้อตกลงแนบท้ายสัญญาเรื่องการไม่รับรู้ขั้นตอนการลงทุน และผลตอบแทน ตลอดจนไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่างๆ ซึ่งระยะเวลาที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ประกาศ ก็คือตลอดเวลาที่อยู่ในวงการเมือง กระทั่งพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว 3 ปี
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับข้อมูลของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ คุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว จั่วหัวว่า "ยิ่งมองไม่เห็น ยิ่งตรวจสอบไม่ได้" วิจารณ์การแถลงข่าวเรื่อง Blind Trust ของคุณธนาธร โดยบอกว่า Blind Trust ยังไม่มีจริงในประเทศไทย เพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณธนาธรลงนามไป จึงไม่ใช่ Blind Trust

ส่วนการโอนทรัพย์สินให้กองทุนส่วนบุคคลดูแล มีอดีตรัฐมนตรีหลายคนเคยทำแล้ว รวมทั้งตัวคุณกรณ์เองด้วย แต่การที่คุณธนาธรบอกว่าทรัพย์สินที่โอนไปนี้จะ "มองไม่เห็น" จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องดี เพราะเมื่อทุกคนบอดสนิทกับข้อเท็จจริงว่านักการเมืองมีทรัพย์สินอะไรบ้าง การตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนก็จะเกิดขึ้นไม่ได้

คุณกรณ์ ยังยกตัวอย่างประสบการณ์ของตัวเองว่า เคยมี Trust อยู่ในต่างประเทศ และรายงานรายละเอียดทั้งหมดกับ ป.ป.ช. ตามกฎหมายว่าด้วยการรายงานบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. แต่หลายปีมาแล้วที่ได้ตัดสินใจทำสวนทางกับที่คุณธนาธรพยายามจะทำ คือคุณกรณ์ยกเลิก Trust ที่มีอยู่ เพราะคิดว่าความโปร่งใสสำคัญกว่า ฉะนั้นประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในสิ่งที่คุณธนาธรประกาศ ไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนแรกหรือไม่ที่ทำแบบนี้ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือที่ท่านบอกว่าทรัพย์สินที่ท่านโอนไปนี้จะ "มองไม่เห็น" เพราะเมื่อทุกคนบอดสนิทกับข้อเท็จจริงว่าท่านมีทรัพย์สินอะไรบ้าง การตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจะเกิดขึ้นไม่ได้

ฉะนั้นวิธีที่ชัดเจนที่สุดที่จะปลดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน คือการขายขาด แต่อย่าขายให้นอมินี หากไม่ขาย วิธีที่ดีที่สุดคือเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะว่ามีทรัพย์สินอะไรบ้าง เพื่อให้มีการตรวจสอบได้ และที่ไม่ควรคือการโอนเข้าไปในที่ที่ "มองไม่เห็น"

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกคนหนึ่งที่ออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้ คือ คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่โพสต์เฟซบุ๊คอธิบายว่า การโอนทรัพย์สินให้ Blind Trust ยังไม่สามารถแก้ปัญหาประโยชน์ทับซ้อนได้จริง กรณีเป็นธุรกิจครอบครัว

คุุณธีระชัย ยกตัวอย่างกรณีของ ประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่โอนหุ้นในชื่อของตนเองในกิจการครอบครัว เข้าไปในกองทุน Blind Trust ถึงแม้กติกากำหนดว่า ผู้บริหารกองทุน Blind Trust จะเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องการลงทุนทรัพย์สินส่วนนี้แทนนายทรัมป์ก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติ ในฐานะผู้ถือหุ้น มีเพียงวันเดียวที่ผู้บริหารกองทุนจะมีอำนาจจริงๆ ก็คือวันประชุมผู้ถือหุ้น คือจะออกเสียงอะไรก็ไม่ต้องไปถามนายทรัมป์ ส่วนวันอื่นไม่มีอำนาจอะไรเลย ผู้บริหารกองทุนอาจจะมีอำนาจมากขึ้น ถ้าหากผู้ถือหุ้นอื่นในครอบครัวเลือกให้บุคคลคนนี้เข้าไปเป็นกรรมการบริษัทแทนนายทรัมป์ แต่ก็ไม่มีกติกาใดที่บังคับเรื่องนี้ ที่สำคัญต่อให้เข้าไปเป็นกรรมการ ก็จะมีเพียงเสียงเดียวในคณะกรรมการทั้งหมดเท่านั้น

ในทางทฤษฎี ผู้บริหารกองทุนมีสิทธิ์ที่จะขายหุ้นในบริษัททรัมป์ออกไป และเอาเงินที่ได้ไปลงทุนอย่างอื่นแทน แต่ในทางปฏิบัติจะไม่มีวันเกิดขึ้น ดังนั้น กรณีที่ทรัพย์สินของนักการเมือง เป็นหุ้นในกิจการครอบครัว นอกจากไม่สามารถป้องกันประโยชน์ทับซ้อนได้จริงแล้ว ยังจะมีปัญหาอีกด้วยเนื่องจากมีภาพภายนอก เสมือนว่ามีเกราะป้องกัน นักการเมืองจึงอาจจะแอบส่งผ่านข้อมูลเพื่อให้กิจการครอบครัวรู้ข้อมูลภายในก่อน และปรับตัวได้ก่อนคู่แข่ง รวมถึงนักการเมืองอาจจะออกนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่กิจการครอบครัว โดยทำทีว่าตนเองไม่รู้ว่านโยบายจะมีผลออกมาเช่นนั้น

คุณธีระชัย ยังเรียกร้องให้ ป.ป.ช.พิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบ โดยเฉพาะทรัพย์สินในกรณีกิจการครอบครัว ต้องกำหนดข้อบังคับให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลการทำธุรกิจที่ละเอียดมากขึ้น โดยเฉพาะการทำธุรกรรมกับภาครัฐ และที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของรัฐ เพื่อให้สื่อมวลชนและภาคประชาชนติดตามป้องปรามประโยชน์ทับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

จากการตรวจสอบเพิ่้มเติมของ "ล่าความจริง" พบว่า แนวทางการโอนหุ้นของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไปให้ "นิติบุคคลซึ่งมีหน้าที่จัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น" หรือ Private Fund นั้น เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ตั้งแต่ปี 2540 และต่อมามีการออกกฎหมายตามออกมา คือ พระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 โดยที่ผ่านมามีนักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีใช้วิธีโอนหุ้นให้กองทุนส่วนบุคคลจัดการแทนแล้วหลายราย เท่าที่ตรวจสอบมีอย่างน้อย 15 ราย รวมถึง คุณกรณ์ จาติกวณิช ด้วย / ฉะนั้นคุณธนาธรจึงไม่ใช่คนแรกที่โอนหุ้นให้กองทุนส่วนบุคคลดูแลแทน แต่น่าจะเป็นรายแรกที่กำหนดเงื่อนไขการไม่รับรู้ขั้นตอนการลงทุนและผลตอบแทน ตลอดจนอำนาจการตัดสินใจต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในแวดวงการเมือง กระทั่งพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งมากกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้