
แม้คดีนี้จะถือว่าคลี่คลายไประดับหนึ่งแล้ว เพราะตำรวจใช้เวลาประมาณ 10 กว่ากันก็ตามจับมือปืนคนสำคัญได้ คือ นายพันศักดิ์ มงคลศิลป์ พร้อมภรรยาและเพื่อนร่วมแก๊ง โดยสาเหตุของการสังหารมาจากการจ้างวาน รับงานมาฆ่า แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือประวัติของ นายพันศักดิ์ มือปืนที่ก่อคดีมาแล้วอย่างโชกโชน รับงานฆ่าได้ต่อเนื่องอย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะมีคดีค้างอยู่ในศาล และอยู่ระหว่างหนีประกัน หนีคำพิพากษาศาล แต่ก็ยังก่อเหตุได้ ที่สำคัญเขายังเคยเป็นนายตำรวจยศ "พันตำรวจโท" ด้วย เรื่องราวและการก่อคดีของพันศักดิ์ สะท้อนปัญหาของกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างแจ่มชัด ไม่ใช่แค่ตำรวจเท่านั้น แต่หมายถึงกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ไปติดตามแง่มุมน่าสนใจนี้ได้จากรายงานพิเศษของ...ล่าความจริง
พันศักดิ์ มงคลศิลป์ เจ้าของฉายา "นักฆ่าหน้าหยก" เคยเป็นอดีตสารวัตรสืบสวน สภ.อ.เมืองปราจีนบุรี มียศสูงถึง "พันตำรวจโท" แต่ต้องจบชีวิตราชการลงเพราะไปพัวพันคดีอุ้มฆ่าสองแม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ เมื่อปี 2537
พันศักดิ์ไม่ใช่นักเรียนนายร้อยตำรวจ แต่เป็นมือทำงานของบิ๊กสีกากีเมื่อ 20 ปีกว่าก่อน เขาถูกส่งมาช่วยงาน "ป๋าลอ" พลตำรวจโทชลอ เกิดเทศ ผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ ซึ่งเป็นยศและตำแหน่งในขณะนั้น เพื่อคลี่คลายคดีเพชรซาอุฯอันลือลั่น
เพชรซาอุฯและทรัพย์สินมีค่าอีกหลายรายการถูกขโมยจากพระราชวังเจ้าชายไฟซาลแห่งซาอุอาระเบีย โดยหนุ่มแรงงานชาวลำปางที่ชื่อ เกรียงไกร เตชะโม่ง เมื่อกลับถึงเมืองไทย เขานำเพชรออกมาทยอยขาย กระทั่งความแตก ตำรวจตามจับได้ และลุยติดตามเพชรเพื่อส่งคืนพระราชวังซาอุฯ ทว่าบางส่วนกลับกลายเป็นเพชรปลอม
ชื่อของ สันติ ศรีธนะขัณฑ์ พ่อค้าเพชรย่านบ้านหม้อ โด่งดังขึ้นมาเพราะถูกระบุว่าเป็นผู้รับซื้อเพชรส่วนใหญ่ไป ปฏิบัติการตามล่าเพชรของจริงจึงเกิดขึ้น เมื่อสันติไม่ให้ความร่วมมือ ตำรวจจึงใช้วิธีโจร จับตัวภรรยาและลูกชายของสันติไปเพื่อต่อรองแลกเปลี่ยนข้อมูลเพชรซาอุฯ โดยผู้ที่ทำหน้าที่นี้คือ พันตำรวจโท พันศักดิ์ มงคลศิลป์ สารวัตรสืบสวน สภ.อ.เมืองปราจีนบุรี ในขณะนั้น อุ้มตัวสองแม่ลูกไปกักขังไว้ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในจังหวัดสระแก้ว แต่เมื่อแผนไม่บรรลุผล ก็นำตัวสองแม่ลูกไปฆ่าปิดปาก แล้วจัดฉากให้เหมือนเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ บนถนนมิตรภาพ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
ต่อมา พันตำรวจโทพันศักดิ์ถูกจับกุม และถูกศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ถูกถอดยศเหมือนนายตำรวจคนอื่นที่เข้าไปพัวพันกับคดีนี้ แต่เขาติดคุกเพียง 18 ปีก็พ้นโทษออกมา และยังเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะปราจีนบุรี สระแก้ว ซึ่งเป็นถิ่นเก่า โดยสมัยเป็นตำรวจยังเป็นที่รู้กันว่าเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีอุ้มฆ่ามากมายในพื้นที่นี้
เมื่อได้อิสรภาพ พันศักดิ์ไม่ได้กลับตัวกลับใจ และไม่ไดัหันหลังให้กับวงการนักฆ่า เขายังรับงานอุ้มฆ่าเผานั่งยาง นายชัยชนะ หมายงาน หรือ "เสี่ยอ้วน" นักธุรกิจในตลาดโรงเกลือ จังหวัดสระแก้ว เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 56 หลังออกจากคุกมาได้ไม่ถึงปี กระทั่งตำรวจได้หลักฐานสำคัญเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในช่วงอุ้มตัวเหยื่อ และพบว่ามีนายพันศักดิ์รวมอยู่ด้วย ทำให้เขาถูกจับอีกครั้ง ต่อมาได้ยื่นประกันตัวต่อศาล และหนีประกัน โดยคดีนี้ศาลมีคำพิพากษาประหารชีวิต
ชื่อของพันศักดิ์ เงียบหายไปไม่กี่ปี ก็โผล่มาอีกครั้งกับคดีสังหารสุดสะเทือนขวัญเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมานี้เอง โดยตำรวจมีหลักฐานว่าเขารับงานฆ่าสองสามีภรรยาเจ้าของปั๊มน้ำมันที่จังหวัดสระแก้ว ทำให้เขาถูกแกะรอยไล่ล่า กระทั่งถูกตำรวจกองปราบบุกเข้าจับกุมขณะกบดานอยู่ในจังหวัดระยอง ทำให้ต้องกลับเข้าเรือนจำอีกครั้ง
นี่คือประวัติคร่าวๆ ของอดีตตำรวจเจ้าของฉายา "นักฆ่าหน้าหยก" ที่สมควรนำมาตั้งคำถามว่า เป็นไปได้อย่างไรที่คนคนหนึ่งซึ่งเป็นตำรวจ เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จะสามารถก่อคดีอุกฉกรรจ์ได้มากมายถึงเพียงนี้ แถมยังก่อเหตุในพื้นที่เดิมๆ ที่เคยมีอิทธิพลและเคยถูกจับ เหตุใดกระบวนการทางกฎหมายและราชทัณฑ์จึงทำอะไรเขาไม่ได้
พันตำรวจเอก วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร ผู้เขียนหนังสือ "วิกฤติตำรวจและการสอบสวน จุดดับกระบวนการยุติธรรม" ตั้งคำถามสั้นๆ ง่ายๆ 7 ข้อเกี่ยวกับเรื่องราวของพันศักดิ์
เริ่มจากคนมีนิสัยและจิตใจโหดร้ายเช่นนี้ เข้ามาเป็นตำรวจได้อย่างไร? เป็นคำถามถึงกระบวนการคัดคนเข้าไปประกอบอาชีพตำรวจของบ้านเรา
เมื่อเป็นตำรวจแล้ว ใช้อำนาจหน้าที่ไปก่ออาชญากรรมได้อย่างไร? ไม่ว่าจะผู้บังคับบัญชาสั่งให้ทำ หรือกระทำด้วยตนเอง ย่อมแสดงว่าระบบควบคุมตรวจสอบในสายงานตำรวจมีปัญหา
ระหว่างมีอำนาจหน้าที่ ได้ก่ออาชญากรรมมาแล้วกี่คดี? เพราะยังมีคดีอุ้มฆ่าอีกหลายคดีที่พันศักดิ์ถูกล่าวหาว่าเข้าไปพัวพัน แต่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์
สาเหตุที่ถูกจับเพราะเป็นคดีสำคัญ เกี่ยวข้องกับคนมีหน้ามีตาในสังคมใช่หรือไม่ ฉะนั้นจึงอาจยังมีคดีอื่นที่กระทำกับคนยากจนแล้วถูกละเลยไปก็เป็นได้
เมื่อถูกจับ รับโทษออกมาแล้ว ยังกลับไปก่ออาชญากรรมร้ายแรงได้อีก แสดงว่าระบบการแก้ไขพฤติกรรมในกระบวนการยุติธรรมมีปัญหา ไม่สามารถทำให้อาชญากรกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ใช่หรือไม่
ระบบป้องกันอาชญากรรม ติดตามพฤติกรรมบุคคลพ้นโทษของสำนักงานตำรวจแห่งชาติถือว่าล้มเหลว เพราะไม่มีข้อมูลเลยว่าคนที่พ้นโทษออกจากคุกแล้วไปทำอะไร ที่ไหน มีโอกาสกลับไปก่ออาชญากรรมอีกหรือเปล่า?
และข้อสุดท้าย สำคัญที่สุด คนร้ายไม่กลัวอาญาแผ่นดิน เพราะคิดว่าทำแล้วมีโอกาสรอดสูง นั่นก็คือความไม่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพระบบงานสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจนั่นเอง
นี่คืออีกหนึ่งบทเรียนของกระบวนการยุติธรรมไทยที่ไม่ควรปล่อยผ่านหรือมองข้าม โดยเฉพาะหากต้องการปฏิรูปครั้งใหญ่เพื่ออำนวยความยุติธรรมสูงสุดให้ประชาชน