พงศธร สัจจชลพันธ์ สรุปผลการดูงานยาเสพติดให้ฟังว่า สิ่งที่แตกต่างระหว่างไทยกับออสเตรเลีย คือ ออสเตรเลียยอมรับความจริงว่ามีคนติดยาและมีผู้ต้องการเสพยา จึงจัดให้มีสถานบำบัดให้ผู้สมัครใจเข้าคอร์สบำบัดอาการติดยา โดยแพทย์จะเข้ามาประเมินอาการของผู้เข้ารับการบำบัด ทำแผนการรักษาเป็นรายบุคคล สั่งจ่ายยาเมทาโดนเพื่อบำบัดหรือใช้ทดแทนสารเสพติด
ซึ่งระบบการสั่งจ่ายเมทาโดนจะใช้วิธีสแกนม่านตาของผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัด มีโดสกำกับเป็นรายบุคคล โดยเครื่องจะคำนวณและสั่งจ่ายยาว่าผู้เข้ารับการบำบัดควรได้รับเมทาโดนกี่เม็ดต่อวัน หรือกี่เม็ดต่อสัปดาห์ เมื่อผู้บำบัดเข้าไปสแกนม่านตาเมทาโดนจะไหลออกมาจากเครื่องตามจำนวนโดสของแต่ละคน หมายความว่าผู้บำบัดแต่ละรายจะได้รับเมทาโดนในจำนวนเม็ดยาที่ไม่เท่ากัน ที่สำคัญการบำบัดไม่ใช่โครงการตลอดชีพ ผู้เข้ารับการบำบัดต้องเข้ารายงานตัวและรับการตรวจประเมินผล
"การยอมรับความจริงโดยเปิดให้เข้ารับการบำบัด ใช้เมทาโดนทดแทนยาเสพติดอย่างถูกกฎหมาย ส่งผลให้สถานการณ์ยาเสพติดผิดกฎหมายเบาบางลง ศาลยาเสพติด หรือคอร์ทดรัก จึงเป็นทางเลือกที่ให้โอกาสผู้ติดยาเสพติด โดยในศาลจะมีบุคลากรจากสหวิชาชีพเข้าประเมินผลการบำบัดรักษาเป็นระยะ"
ไฮไลท์ของทริปนี้ไม่ใช่เพียงการแสวงหาความร่วมมือในการป้องกัน ปราบปรามยาเสพติด ภายใต้ปฏิบัติการร่วมของเชฟแม่โขง ซึ่งเป็นการผนึกความร่วมมือสกัดกั้นยาเสพติดจากสามเหลี่ยมทองคำ แต่ยังเข้ารับฟังการบรรยายสรุปและศึกษาดูงานด้านการศึกษาวิจัยและผลิตกัญชาทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมาย ณ บริษัท Medifarm เมือง Sunshine Coast โดยผลิตภัณฑ์กัญชาที่ผลิตเป็นชนิดน้ำมันเท่านั้น และแพทย์เท่านั้นที่สามารถสั่งจ่ายน้ำมันกัญชาดังกล่าวเพื่อใช้รักษาโรคลมชัก และอาการเจ็บปวดแบบเรื้อรัง โดยการสั่งจ่ายน้ำมันกัญชามักไม่ได้เป็นทางเลือกแรกของแพทย์ที่จะใช้ในการรักษา
การศึกษากัญชาเพื่อใช้รักษาโรคของประเทศออสเตรเลียยังอยู่ในขั้นตอนของการทดลอง โดยจะนำกัญชามาสกัดเป็นน้ำมัน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีผลการศึกษาวิจัยชัดเจนว่าสามารถใช้รักษาโรคมะเร็งให้หายขาดเหมือนที่มีการแชร์ข้อมูลกันอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดียของไทย เนื่องจากกัญชามีทั้งสารเสพติดที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาทางการแพทย์ และสารเสพติดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการรักษา ในแปลงทดลองจึงนำกัญชามาสกัดเพื่อคัดแยกเฉพาะสารที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษา โดยจะนำมาใช้บำบัดผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งด้วยการทำรังสีบำบัด หรือคีโม และใช้ได้ผลดีต่อผู้เป็นโรคชักเกร็ง และโรคลมชัก โดยการศึกษาวิจัยของออสเตรเลียยังไม่ไปถึงขั้นใช้น้ำมันกัญชารักษามะเร็งได้โดยตรง
ทั้งนี้ศูนย์เมดิฟาร์มของออสเตรเลียจะทำการวิจัยน้ำมันกัญชาแบบครบวงจร ว่าจ้างนักวิจัยของเอกชนเข้าไปทำงานวิจัยให้โรงพยาบาล เริ่มต้นศึกษาตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุที่จะนำมาเพาะปลูก โดยสายพันธุ์ที่ได้รับคัดเลือกเป็นเมล็ดพันธุ์กัญชาจากประเทศอิสราเอล ปลูกในโรงเรือนแบบปิด ผู้ที่ได้รับอนุญาตเข้าไปในโรงเรือนเพาะชำกัญชาและห้องทดลองสกัดน้ำมันกัญชามีไม่กี่คน จำกัดเฉพาะผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น
การสกัดน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาโรคของออสเตรเลียจึงไม่ใช่การเปิดรับซื้อกัญชาจากต่างประเทศ ข้อเรียกร้องในโซเชียลมีเดียที่ต้องการส่งเสริมให้ปลูกกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจจึงยังห่างไกลความเป็นจริง เนื่องจากกัญชายังมีสถานะเป็นพืชเสพติดที่ต้องจำกัดพื้นที่เพาะปลูกและสถานที่วิจัยเพื่อสกัดน้ำมันกัญชา การจำกัดลักษณะของโรคที่ควรได้รับการรักษาด้วยน้ำมันกัญชา และมะเร็งกลุ่มใดบ้างที่ควรรักษาด้วยน้ำมันกัญชา เพื่อกำหนดเป็นนโยบายควบคุมพืชเสพติดของไทยต่อไป