
หลังจากนั้นก็มีการจับกุมพระครูไกรศร วิลาศ เจ้าอาวาสวัดตราชู ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อทำจัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดหรือเป็นของผู้อื่นหรือโดยทุจริต ยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และพระครูวิลาสกิจจานุกูล รองเจ้าอาวาสวัดกุฎีทอง อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ในข้อหาเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานและมีหน้าที่ซื้อทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด หรือเป็นของผู้อื่นหรือโดยทุจริต ยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับหายไปของพระพุทธรูปดังกล่าว พร้อมให้พระทั้ง 2 รูป ยอมสละสมณเพศ แล้วนำตัวไปฝากขังยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 จ.สระบุรี ซึ่งขณะนี้ยังถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำสระบุรีตามที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้
ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ (วันที่ 30 พ.ค.) ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบก.ป. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้สั่งการให้ พ.ต.อ.แมน เม่นแย้ม ผกก.4 บก.ป. พ.ต.ท.ประเสริฐ หวังบุญสร้าง สว.กก.4 บก.ป. นำกำลังเข้าตรวจค้นที่บ้านพักส่วนตัวของนายกิตติ ชูเนตร อายุ 56 ปี หรืออดีตพระครูวิลาสกิจจานุกูล อดีตรองเจ้าอาวาสวัดกุฎีทอง อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ร่วมทั้งหมด 4 จุดในพื้นที่ อ.พรมบุรี, อ.บางระจัน และอ.เมืองสิงห์บุรี เพื่อขยายผลเพิ่มเติม หลังจากมีชาวบ้านและพระจากวัดหลายแห่งในจ.สิงห์บุรี ร้องเรียนว่า มีพระพุทธรูปเก่าแก่ได้หายไป และสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องคดีที่มีการจับกุมดังกล่าว
พ.ต.อ.จรูญเกียรติ กล่าวด้วยว่า เบื้องต้นจากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่พบพระเครื่องและพระพุทธรูปบูชาโบราณขนาดต่างๆ กันหลายร้อยองค์อยู่ภายในบ้านพักของนายกิตติ โดยสงสัยว่าทั้งหมดอาจถูกโจรกรรมมาก็เป็นได้ จึงอายัดของกลางทั้งหมดมาไว้ที่กองปราบฯ เพื่อทำการตรวจสอบหาที่มาต่อไป และหากประชาชนและวัดต่างๆ รายใดที่สงสัยว่าจะเป็นพระพุทธรูปพระเครื่องของตัวเองที่หายไป ก็ขอให้เข้ามาตรวจสอบของกลางได้ที่กองปราบปราม เพื่อจะได้ขยายผลการดำเนินคดีต่อนายกิตติต่อไป