ตนเห็นข่าวนายพานทองแท้ พาดพิงกระแหนะกระแหน พรรคประชาธิปัตย์และหัวหน้าพรรคแล้ว รู้เลยว่านายเขาไม่เคยศึกษาบทเรียนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะบทเรียนที่เสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตย ใช้เสียงส่วนใหญ่ย่ำยี ทำลายระบอบประชาธิปไตย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ ว่าจะไม่สนับสนุนระบบและวิธีแห่งเผด็จการ นี่คืออุดมการณ์พรรคตลอด 72 ปี เราเป็นได้หมด ถ้าแพ้ก็เป็นฝ่ายค้าน ชนะก็เป็นรัฐบาล และขณะนี้แม้จะมีการยึดอำนาจแต่ก็เป็นพรรคการเมืองเดียวที่ยังเปิดอย่างเป็นทางการไม่มีวันหยุดเพื่ออยู่เคียงข้างประชาชน
นายราเมศกล่าวต่อไปาว่า พรรคยืนหยัดปกป้องประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ แม้เป็นเสียงข้างน้อย เราเป็นฝ่ายค้านที่ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา คอยเตือนคอยตรวจสอบรัฐบาลเพื่อไม่อยากให้เกิดเงื่อนไขนำไปสู่การปฏิวัติ แต่เสียงข้างมากไม่เคยสนใจ จนเข้าใจว่าความหมายประชาธิปไตยของนายพานทองแท้ คงจดจำแต่พฤติกรรมที่พรรคของบิดาและครอบครัวสร้างขึ้นมา ที่คนในพรรคซื้อเสียงจนถูกยุบพรรค โกงจนติดคุกบ้างก็หนีไปต่างประเทศ หรือคนในพรรคพยายามแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง จนศาลตัดสินว่าออกกฎหมายโดยไม่ชอบ รวมถึงการออกกฎหมายล้างผิดให้คนที่เผาบ้านเผาเมือง คนคดโกงประเทศ คนที่พยายามสร้างหนี้ให้ประเทศเป็นร้อยปีโดยการกู้ยืมเงินสองล้านล้าน คนที่ออกนโยบายมาเพื่อโกงเงินของแผ่นดินมากที่สุดเกือบ 1 ล้านล้านบาท เช่นกรณีโกงในโครงการรับจำนำข้าว คนที่ช่วยกันเสียบบัตรแทนกันในสภา คนที่พอศาลตัดสินก็ออกมาแถลงว่าไม่ยอมรับอำนาจตุลาการ คนที่บอกว่าจะพัฒนาจังหวัดที่เลือกพรรคเราก่อน
"สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นเเงื่อนไขเรียกทหารให้ออกมาปฏิวัติ ประชาธิปัตย์ไม่เคยเรียกทหารให้ออกมายึดอำนาจ ถ้ารัฐบาลที่มีพฤติกรรมแบบนี้จะให้ประชาชนยอมรับได้อย่างไร คนที่ออกไปต่อสู้ร่วมกับประชาชนแน่นอนว่าหลายคนที่อยู่พรรคประชาธิปัตย์ แต่อย่าลืมว่า ไม่ว่าเขาจะเป็น ส.ส. หรือตำแหน่งอะไร แต่เขาเหล่านั้นยังมีสถานะความเป็นประชาชนคนหนึ่งในประเทศที่กล้าหาญเขาแยกตัวออกจากพรรคเพื่อออกมาต่อสู้กับรัฐบาลทรราชได้ เขาเหล่านั้นไม่ได้ไปเพราะพรรคมีมติ เขาเหล่านั้นไม่ได้ไปทำสิ่งที่ชั่วร้าย เขาเหล่านั้นไม่ได้ไปเผาบ้านเผาเมือง ต้นเหตุที่ทำให้ทหารออกมาปฏิวัติก็คือพรรคพวกคุณพานทองแท้ทั้งนั้น"นายเราเมศกล่าว