นายนิกร กล่าวขยายความว่า คำสั่งข้อ 1 ที่แก้ไขมาตรา 140 ซึ่งกำหนดให้สมาชิกพรรคทำหนังสือยืนยันพร้อมชำระค่าบำรุงพรรคการเมือง ภายใน 30 วันนับจากวันที่ 1 เม.ย. 2561 หากพ้นกำหนดดังกล่าวถือว่าพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค แต่ในส่วนแก้ไข มาตรา 141 (2) และ (3) ที่กำหนดจัดให้สมาชิกพรรคที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม จำนวน 500 คนชำระค่าบำรุงพรรค ภายใน 180 วัน และอีก ไม่น้อยกว่า 5,000 คนภายใน 1 ปีและไม่น้อยกว่า 10,000 คนภายใน 4 ปีนับจากวันที่ 1 เม.ย.61 และหากพ้น 4 ปีสมาชิกพรรคยังไม่ชำระค่าบำรุงพรรคให้พ้นจากความเป็นสมาชิก เนื่องจากเมื่อกฎหมายกำหนดให้ผู้ไม่ชำระค่าบำรุงพรรคต้องพ้นสภาพ ไปภายใน 30 วันแรก เท่ากับไม่มีความเป็นสมาชิกภาพเหลือ ดังนั้นจะกำหนดให้คงสภาพถึง 4 ปีนั้นเชื่อว่าเป็นความขัดกัน
"เขียนคำสั่งแบบนี้โดยเฉพาะเรื่องสมาชิกพรรคการเมืองเท่ากับเป็นการรีเซตสมาชิกพรรคแบบซ่อนรูป และสร้างความลำบากให้พรรคการเมืองมากกว่า พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ.2560 ก่อนการแก้ไข เพราะฉบับเก่ากำหนดให้เวลาแจ้งเปลี่ยนแปลงสมาชิก ภายใน 90 วัน และหากไม่ทันสามารถขยายออกไปได้อีก 3 ครั้งๆ ละ 90 วัน รวมเป็น 270 วัน แต่ของใหม่กำหนดให้ยืนยันสมาชิก ภายใน 30 วัน หากทำไม่แล้วเสร็จมีสิทธิขอขยายเวลาออกไปได้ อีก 1 เท่าหรือ 30 วัน รวมเป็น 60 วัน ดังนั้นถือเป็นความยากของพรรคที่จะทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าประเด็นนี้จะแก้ปัญหาสมาชิกพรรคที่ซ้ำซ้อน ผมยืนยันว่าตั้งแต่ พ.ศ.2550 สมาชิกพรรคใช้ระบบยืนยันด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก ดังนั้นไม่มีทางซ้ำกันได้ และไม่ใช่ปัญหาอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ" นายนิกร กล่าว
นายนิกร กล่าวด้วยว่า เมื่อคำสั่งที่แก้ไข พ.ร.ป.พรรคการเมืองออกมา ฐานะนักการเมืองคงต้องยอมรับและไม่มีสิทธิเลือกทางเลือกอื่น แม้ผลของคำสั่งที่ให้พรรคทำกิจกรรมใดๆ จะเกิดขึ้นหลังจากวันที 1 เม.ย. 2561 แต่เพื่อเป็นการเยียวยาให้กับพรรคการเมือง ขอใช้สิทธิหารือไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตามสิทธิที่คำสั่ง คสช. 53/2560 ข้อ7 ระบุให้ กกต. ชี้แจงให้ชัดเจนว่าประเด็นใดที่พรรคการเมืองทำได้ และสามารถขอความช่วยเหลือใดๆ ได้บ้างตามข้อเท็จจริงและความจำเป็น เพื่อไม่ให้เกิดเดดล็อคทางการเมืองในอนาคต.