วันนี้ในอดีต 1 ก.ย.2533 ‘สืบ นาคะเสถียร’ ยิงตัวตาย
วันนี้ในอดีต 1 ก.ย.2533 สืบ นาคะเสถียร อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ได้ตัดสินใจยิงตัวตายจากความกดดันในงานที่เขาต้องรับผิดชอบ
ในปี 2542 อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี แห่งคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เคยรายงานผลการสำรวจประชามติความคิดเห็นของคนไทย โดยหนึ่งในแบบสำรวจประชามติมีการตั้งคำถามว่า ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ท่านเสียดายการจากไปของสามัญชนผู้ใดมากที่สุด 10 อันดับ ผลปรากฏว่า อันดับ 1 คือ หลวงปู่แหวน อันดับ 2 สืบ นาคะเสถียร
มีบางคนกล่าวว่า แม้สืบ นาคะเสถียรจะตายจากไปนานมากแล้วแต่ดูเหมือนว่าสืบได้กลายเป็นวีรบุรุษในดวงใจของคนไทยที่ให้การยอมรับมากที่สุด
ธันวาคม 2532 สืบ เดินทางเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ด้วยความมุ่งมั่นและใจเต็มร้อยที่จะรักษาผืนป่าที่นี่ให้ดีที่สุด และในอนาคต เขาหวังว่าป่าห้วยขาแข้ง จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งอื่นๆ
สืบบอกกับคนรอบข้างว่า"ตอนนี้ผมสามารถให้ทุกสิ่งกับห้วยขาแข้งได้"
ห้วยขาแข้งเป็นป่าที่มีพื้นที่ขนาด 1 ล้าน 6 แสนกว่าไร่เศษ เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่าหายากจำนวนมาก เช่น กระทิง วัวแดง ควายป่า นกยูงไทย สมเสร็จ เสือโคร่ง เสือดาว ช้างป่า ฯลฯ
วันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ออกจับไม้เถื่อนทันที 'สืบ'พบว่าปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า การลักลอบล่าสัตว์ เป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกวันในเวลานั้น
"ผมพูดได้เลย มันมีการยิงกันทุกวัน ไปตามก็เจอแต่กองไฟ เจอซากที่ชำแหละไว้เรียบร้อย จับมันได้ครั้งหนึ่งมันพร้อมจะล่าสิบครั้งกว่าจะโดนจับ ถูกปรับแค่ 500บาท คุกก็ไม่ติด กว่าเราจะจับมันได้ ต้องไปอดหลับอดนอนแบกข้าวสารไปกินในป่า มันหนีเราแต่เราต้องตามจับ อย่างเมษายนปีที่แล้ว ลูกน้องผมถูกนายพรานยิงตายสองคน เจ้าหน้าที่ยิงก่อนก็ไม่ได้ ถือว่าเกินกว่าเหตุ ผู้ต้องหามันเห็นหน้าเรา มันยิงใส่เราแล้ว เราก็ตาย เรามีค่าเหรอ ตายไปอย่างดีก็เอาชื่อมาติดที่อนุสาวรีย์"
ด้านตะวันออกของป่าห้วยขาแข้งอยู่ติดกับหมู่บ้านหลายแห่ง ชาวบ้านเองมักจะลักลอบเข้ามาล่าสัตว์ หรือเป็นคนนำทางให้แก่พรานในเมือง บางครั้งก็มีใบสั่งจากกลุ่มอิทธิพลว่าต้องการสัตว์ป่าประเภทไหน สืบ นิ่งเงียบและเจ็บปวดอยู่ในใจ จับนักล่าไม่ได้แต่สัตว์ตายตลอด แต่พอจับคนล่าได้ คนเหล่านี้ก็ล้วนเป็นคนยากคนจน ไม่สามารถลากคอผู้บงการหรือเจ้าของร้านอาหารสัตว์ป่ามาลงโทษได้
จิตประพันธ์ กฤตาคม พนักงานพิทักษ์ป่าผู้ใกล้ชิดสืบ เปิดเผยว่า"พอพี่สืบมาเป็นหัวหน้าเขตฯ วงการค้าไม้เถื่อนหรือล่าสัตว์ป่ามีการเคลื่อนไหว เพราะอาจรู้กิตติศัพท์ที่ว่าหัวหน้าสืบเป็นคนทำงานจริงจัง ไม่กลัวอิทธิพลใดๆ แต่การล่าสัตว์เป็นปัญหาที่หนักมากในเวลานั้น ทุกคืนพี่สืบจะฟังเสียงปืนด้วยความอดทน ถ้าเราไปเราก็เสียเปรียบ คือเราได้ยินเสียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงปืนล่าสัตว์ หรือเขาต้องการล่อให้เจ้าหน้าที่ออกไปโดนยิง พี่สืบ เป็นห่วงความปลอดภัยของลูกน้องมาก"
สืบเริ่มตระหนักว่า ปัญหาในป่าห้วยขาแข้งดูจะยิ่งใหญ่และสลับซับซ้อนมากกว่าที่เขาประเมินไว้แต่แรก สืบพยายามขอความร่วมมือจากหน่วยราชการนอกป่าห้วยขาแข้ง ในการช่วยกันป้องกันการทำลายป่าและการล่าสัตว์โดยเฉพาะบริเวณป่าสงวนรอบๆ ป่าห้วยขาแข้งซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของเขา เขาพยายามเดินเข้าหาผู้ใหญ่ ไปพูดคุยกับทุกคน แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง
แต่สืบก็ยังมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่างๆ หนทางเดียวที่จะทำให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างดี คือการผลักดันให้ป่าแห่งนี้ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลก สืบจึงรีบลงมือเก็บข้อมูลอย่างหนักเพื่อทำรายงานเสนอยูเนสโกจนสำเร็จในเวลาต่อมา
เดือนพ.ค 2533 รัฐมนตรีคนหนึ่ง เรียก'สืบ'ไปพบที่กรุงเทพฯ เขาเตรียมข้อมูลอย่างดีและพยายามที่จะอธิบายถึงปัญหาอันยุ่งยากที่เขาและลูกน้องต้องประสบ แต่เขาไม่มีโอกาสชี้แจง เพียงแต่ได้รับคำบอกสั้นๆว่า"คุณต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม"
สืบโกรธมากและตอบกลับไปว่า"ผมทำงานหนักกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว นอกจากว่าท่านจะยืดเวลาหนึ่งวันให้ยาวไปกว่านี้ และผมไม่อาจบอกคนของผมให้ทำงานหนักกว่านี้ได้อีกแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขาแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย"
สืบกลับออกมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้งและถูกกดดัน เขาบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำให้เขาเชื่อมั่นว่า ความพยายามแทบเป็นแทบตายของเขานั้นไม่ได้รับการตอบสนองจากใครทั้งสิ้น เขารู้สึกสิ้นหวัง
เขาบอกคนใกล้ชิดว่า"ผมแน่ใจแล้วว่า ผมกำลังต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ผมไม่อาจจะคาดหวังจากใครได้อีกต่อไป"
ภายหลังเหตุการณ์ในวันนั้น มีคนสังเกตเห็นสืบ เครียดและผอมลงไปมาก
เช้าวันที่ 31 ส.ค. 2533 สืบ อยู่ในชุดกางเกงสีครีม สวมเสื้อสีส้มอ่อนๆ เดินขึ้นไปบนสำนักงาน เขียนหนังสือและครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนกระทั่งตกบ่าย สืบเริ่มเอาสิ่งของที่เคยยืมมาไปคืนเจ้าของ ประมาณห้าโมงเย็นสืบเดินมาชวนลูกน้องคนสนิทสองสามคนนั่งกินเหล้า ใกล้เที่ยงคืน ก็บอกลากลับไปบ้านพัก โดยหันมายิ้มกับลูกน้องเหมือนกับคนที่มีความสุขที่สุด แลพพูดขึ้นว่า ไปแล้วนะ
ประมาณตีสี่ของวันที่ 1 ก.ย. 2533 ยามในห้วยขาแข้งได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด แต่ไม่มีใครคิดอะไร ในป่าแห่งนี้เสียงปืนเป็นเรื่องธรรมดา จนประมาณสิบโมงเช้า เจ้าหน้าที่เริ่มแปลกใจว่าหัวหน้าสืบยังไม่ลงมากินข้าว จึงเดินไปตาม เมื่อไขกุญแจบ้านเข้าไป เขาพบร่างที่ไร้ลมหายใจของสืบอยู่บนเตียง มีแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนข้อความไว้ว่า
"ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเอง โดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งสิ้น"ลงชื่อ สืบ นาคะเสถียร ผู้ตาย
สืบมีความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้สัตว์ป่าและป่าไม้ในป่าห้วยขาแข้งอยู่รอด แต่เมื่อความมุ่งมั่นของเขาที่มีถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ แต่่เขาเป็นคนไม่เคยทรยศต่อหลักการและความมุ่งมั่นของตัวเอง
บางทีการตั้งใจฆ่าตัวตาย อาจเป็นเพียงหนทางเดียวที่ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้