พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ผลการประชุม ได้มีข้อสั่งการให้ติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวทุกพื้นที่ให้จัดทำแผนเผชิญเหตุรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และในส่วนของต่างจังหวัดให้ดูแลพื้นที่ หน่วยงานราชการที่สำคัญ โดยยึดตาม แผนกรกฎ 52 เป็นแนวทางปฏบัติ และบังคับใช้กฎหมาย 100 เปอร์เซ็นต์ และยืนยันว่าไม่มีนโยบายขัดขวางการเดินทางมาให้กำลังใจ แต่ขอให้ประชาชนและกลุ่มแกนนำอย่ากระทำผิดกฎหมาย
โดยครั้งนี้ใช้กำลังตำรวจเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลความสงบเรียบร้อย โดยจัดกองร้อยควบคุมฝูงชน จำนวน 24 กองร้อย ห้ามพกพาอาวุธโดยเด็ดขาด วันนี้ในที่ประชุมได้กำชับให้รักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่บริเวณศาลฯและบริเวณใกล้เคียง และดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจร เนื่องจากบริเวณศาลฯมีสถานที่ราชการ แหล่งชุมชน ที่พักอาศัยของประชาชนมากมาย ดังนั้นต้องวางแผนด้านจราจรให้ดี และเหตุที่ต้องดูแลผู้ที่จะมาให้กำลังใจส่วนหนึ่งต้องคำนถึงถึงผลกระทบด้านจราจรด้วย
รอง ผบ.ตร. กล่าวต่อว่า ด้านการข่าวระบุว่าในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ จะมีมวลชนเดินทางมาให้กำลังใจมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จากการข่าวขณะนี้ พบว่า ขยับกันทั้งประเทศ มีการะดมคน ชักชวนกันมาปากต่อปาก ชวนกันมาจังหวัดละ 10-20 คน ทั้งประเทศมีเพียง 10 จังหวัดเท่านั้นที่ไม่ระดมคนมา ที่เหลือมากันหมด แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นกลุ่มแนวร่วมกลุ่มไหน ใช่เสื้อแดงหรือไม่ตนไม่ระบุ แต่ยืนยันว่าไม่สกัดกั้น สั่งตำรวจทั่วประเทศไปแล้วว่าต้องไม่มีการสกัดกั้นเด็ดขาด แต่การเดินทางมาให้กำลังใจต้องมาอย่างถูกกฎหมาย ไม่พกวัตถุอันตราย จะเอาน้ำมันมาคนละแกลลอน ปืนคนละกระบอกคงไม่ได้ จัดรถตู้ รถบัส ที่ไม่ถูกกฎหมาย นอกเส้นทางอนุญาตมาก็ไม่ได้ ให้นั่งรถเมล์ รถไฟ รถสาธารณะมา ถ้าทำผิดกฎหมาย ตำรวจพร้อมดำเนินคดีบังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด ทั้งนี้ในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ ทางศาลฯได้จัดระเบียบความปลอดภัยของพื้นที่อยู่แล้ว ทราบว่ามีการขยายพื้นที่อนุญาตให้มวลชนมาให้กำลังใจ เพิ่มเติมจากครั้งก่อนๆด้วยซ้ำ แต่ย้ำว่าอนุญาตให้อยู่ในพื้นที่ จนศาลอ่านคำตัดสินเสร็จเท่านั้น หลังจากนั้นต้องแยกย้ายกลับทันที หากปักหลักในพื้นที่มีความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวอีกว่า แม้ศาลจะตัดสินออกมาในทิศทางใด ตำรวจก็วางมาตรการรองรับทุกทาง ขณะเดียวกันได้ติดตามความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยอมรับว่าขณะนี้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) พบมีกลุ่มแนวร่วม 24 รายกำลังเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย ซึ่งกำลังเฝ้าจับตากลุ่มนี้อยู่ แต่ขณะนี้ยังไม่พบการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย หรือเข้าทำนองยุยงปลุกปั่น จึงยังไม่ดำเนินคดีกับผู้ใด ที่ผ่านมาก็ดำเนินคดีกับนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีฯแกนนำพรรคเพื่อไทย เพียงรายเดียวเท่านั้น
เมื่อถามว่า จากการข่าวห่วงกังวลว่ากลุ่มฮาร์ดคอร์จะใช้วิธีรุนแรงในช่วงก่อนและหลังการตัดสินหรือไม่ รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ยอมรับว่ากังวล ก็เฝ้าจับตาทุกกลุ่ม อย่างล่าสุดก็มีเหตุปล้นเต็นท์รถที่ อ.นาทวี จ. สงขลา และนำไปวางคาร์บอมบ์หลายจุด ก็เป็นเหตุที่ต้องจับตามอง จะมองว่าเป็นสัญญาณก็ได้ แม้เหตุเกิดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็ปล้นรถตั้งหลายคัน แล้วประกอบระเบิดทันที ผิดสังเกตุหรือไม่ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิด ไม่ใช่พฤติกรรมที่เคยพบในพื้นที่ ก่อนหน้านี้คนใน 3 จังหวัดใต้ ก็มาก่อเหตุใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน หรือแม้แต่เหตุระเบิดที่ รพ.พระมงกุฏเกล้า ก็เคยเกิดมาแล้ว เหตุรถพุ่งชนคนที่บาเซโลน่า ประเทศสเปนก็ยังเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องระมัดระวังไว้ก่อน
"อย่างไรก็ตาม การข่าวการสืบสวนขณะนี้ยังไม่พบอะไรพิศดาร แต่ก็ไม่ประมาท เตรียมแผนรองรับทุกสถานการณ์" รอง ผบ.ตร. กล่าว