svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ECB ส่งสัญญาณถกปรับลด QE เดือนกันยายนนี้ หนุนเงินยูโรแข็งค่าขึ้นถึง 11% จากปลายปี 2016

21 กรกฎาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ECB ส่งสัญญาณถกปรับลดวงเงิน QE ในเดือนกันยายนนี้ หนุนเงินยูโรแข็งค่าแตะ 1.1623 ดอลลาร์ช่วงเช้าวันนี้ เป็นการแข็งค่าขึ้นถึง 11% นับจากปลายเดือนธันวาคม 2016 รวมทั้งเป็นการแข็งค่ามากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี สวนทางดัชนีค่าเงินดอลลาร์ดิ่งฮวบลงทันทีจากระดับ 95.15 สู่ 94.12 หลังจากที่มาริโอ ดรากี เผยเตรียมหารือปรับวงเงิน QE ที่ ECB ได้เข้าซื้อบอนด์ยุโรปในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาซึ่งจะครบกำหนดตามเป้าหมายในเดือนธันวาคม 2017 นี้

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงจับตานโยบายการเงินของ BOJ ที่มีการคาดการณ์เงินเฟ้อในปีงบประมาณ 2017 ลดลงที่ 1.1% จากเดิมที่คาดไว้ 1.4% ส่วนในปี 2018 เงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 1.5% แต่ก็เป็นอัตราที่ลดลงจากการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.7% โดยมีการเลื่อนเวลาใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ตามเป้าเงินเฟ้อ 2% ออกไปเป็นครั้งที่ 6 แล้ว
ขณะที่ Bitcoin พุ่งขึ้น 18% สู่ 2,512 ดอลลาร์ในการซื้อขายเมื่อวันพฤหัสบดี นับว่าเป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งสำหรับนักเก็งกำไรที่ทำการเทรดผ่านเงินดิจิตัล หรือ Cryptocurrency นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2016 จากที่ร่วงลงไปล่าสุดในระดับต่ำถึง 1,857 และ 1,789 ดอลลาร์ หลังจากที่ BOJ และ ECB ประกาศคงนโยบายดอกเบี้ยและยังไม่ปรับลดเม็ดเงิน QE ในการประชุมบอร์ดเมื่อวานนี้

1.มาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณหารือปรับวงเงิน QE ในเดือนกันยายนนี้ ส่งผลเงินยูโรแข็งค่า 0.39% สู่ระดับ 1.1559 ดอลลาร์ และแข็งค่าขึ้นอีกในตลาดอัตราแลกแปลี่ยนเอเชียเช้าวันนี้ที่ 1.1623 ดอลลาร์ รับเป็นการแข็งค่าของเงินยูโรในรอบเกือบ 3 ปี โดยเงินยูโรลงไปต่ำสุดที่ 1.0456 ดอลลาร์เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2016 มาถึงวันนี้เป็นการแข็งค่ามากกว่า 11% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สวนทางเงินดอลลารที่ร่วงลงแรงจากระดับดัชนีค่าเงินดอลลาร์ หรือ Dollar Index ที่ 95.15 สู่ระดับ 94.12 ทันทีในระหว่างชั่วโมงเทรดเมื่อวันพฤหัสบดี
ขณะเดียวกัน ทิศทางของดัชนี Nasdaq ที่เป็นหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐที่ยังคงปรับตัวสูงขี้นเฉียดระดับดัชนี 6,400 ปิดที่ 6,390 ในวันพฤหัสฯ สวนทางกับทิศทางดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และ S&P500 ปิดตลาดในแดนลบร่วงลงที่ 21,611 และ 2,473 ตามลำดับ
โดยบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า การประชุมของ ECB ในเดือนกันยายนน่าจะทำการประกาศแผนการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตร ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนมกราคมปีหน้า โดยคาดว่า ECB จะทำการขยายเวลาการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ออกไปอีก 6 เดือน จากที่มีกำหนดสิ้นสุดในปลายเดือนธันวาคมปีนี้ เพียงแต่จะทำการลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรลง
หลังจากที่ประธาน ECB เคยยืนยันมาตลอดว่า ECB นั้นพร้อมที่จะเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE หากมีความจำเป็น ทั้งนี้ ECB ได้ทำการอัดฉีดเม็ดเงิน QE ไปแล้วถึง 4.23 ล้านล้านยูโร หรือ 4.69 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้าธนาคารกล่งสหรัฐที่อัดฉีด QE ในวงเงิน 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ และธนาคารกลางญี่ปุ่นที่อัดฉีด QE จำนวน 4.47 ล้านล้านดอลลาร์
เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจยังไม่ส่งผลให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นมาก โดยที่อัตราเงินเฟ้อในขณะนี้ไม่ได้อยู่ในระดับที่ ECB ต้องการ หรืออยู่ในระดับที่ควรจะเป็นตามเป้าหมายเงินเฟ้อที่ตั้งไว้ 2% เพราะยังถูกกดดันจากราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง

2.ในการประชุม ECB ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสฯ ยังมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในตลาดซื้อคืน (รีไฟแนนซ์) ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.4% เพื่อหวังผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์นำเงินไปปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจ แทนที่จะนำมาพักไว้ที่ ECB นอกจากนี้ ECB ได้คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ 0.25% ส่วนวงเงินในการซื้อบอนด์ตามมาตรการ QE คงไว้ที่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน จนถึงเดือนธันวาคม 2017
ทั้งนี้ แถลงการณ์ของ ECB ยังระบุว่า จะตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% ต่อไปอีกระยะหนึ่ง แม้ว่าจะยุติการใช้มาตรการ QE ในอนาคต ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่า ECB จะยังคงไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงปี 2019 โดยที่ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนกันายายนนี้ ทาง ECB จะเปิดเผยตัวเลขประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อชุดใหม่

3.นักลงทุนยังคงจับตานโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่มีการคาดการณ์เงินเฟ้อในปีงบประมาณ 2017 ลดลงที่ 1.1% จากเดิมที่คาดไว้ 1.4% สวนในปี 2018 เงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 1.5% แต่เป็นอัตราที่ลดลงจากการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.7% โดยตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ภายในปี 2019
ทั้งนี้ ตลาดเชื่อว่า ในเร็วๆ นี้ BOJ จะทำการยกเลิกเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ซึ่งเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายการเงินที่มีอนวโน้มว่าจะผ่อนคลายมากขึ้น โดยที่ BOJ ได้เลื่อนระยะเวลาในการจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อมาแล้วถึง 6 ครั้ง และหลังจากที่เงินเฟ้อยังต่ำกว่าเป้าหมายตามที่คาดการณ์ไปจนถึงปี 2019 ซึ่งตรงกับช่วงจังหวะการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ ท่ามกลางคะแนนนิยมของรัฐบาลชินโซ อาเบะ ที่ตกตำลงเรื่อยๆ ในระดับที่ต่ำกว่า 40% (ใกล้เคียงกับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีคะแนนนิยมลดต่ำลงมากที่สุดดหลือเพียง 36%) เนื่องจากนโยบาย Abenomics ที่รัฐบาลปัจจุบันประกาศไว้ไม่สามารถบรรลุผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม BOJ ได้คาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีของญี่ปุ่นในปี 2017 ที่ระดับ 1.8% สูงขี้นจากที่คาดไว้ที่ระดับ 1.6% ส่วนปี 2018 จะอยู่ที่ 1.4% แต่ในปี 2019 จะชะลอตัวลงที่ 0.7% ซึ่งเป็นสัญญาณเสี่ยงต่อเศรษฐกิจขาลง
ดังนั้น BOJ มีมติคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินในการประชุมเมื่อวันพฤหัสฯโดยได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% พร้อมกับการันตีผลตอบแทนลงในบอนด์รัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปีที่ 0.00% และยังคงอัดฉีดเงิน QE ตามเป้าหมายที่ 80 ล้านล้านเยนสำหรับการเข้าซื้อบอนด์รัฐบาลและเอกชน


4.ภายหลังจากที่ BOJ และ ECB ประกาศคงนโยบายดอกเบี้ยและยังไม่ปรับลดเม็ดเงิน QE ในการประชุมบอร์ดเมื่อวานนี้ ส่งผลต่อการซื้อขายใน Bitcoin พุ่งสูงขึ้น 18% สู่ 2,512 ดอลลาร์อีกครั้ง นับว่าเป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งสำหรับนักเก็งกำไรที่ทำการเทรดผ่านเงินดิจิตัล หรือ Cryptocurrency นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2016
และหลังจากก่อนหน้านี้ที่ร่วงลงไปล่าสุดในระดับต่ำถึง 1,857 และ 1,789 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการดิ่งลงถึง 40% จากที่เคยขึ้นไปสูงกว่าระดับ 3,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนใน Bitcoin ยังกังวลต่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ตลาดอาจจะเกิดการปรับตัวลงลดอย่างรุนแรง เนื่องจากแรงเทขายระลอกใหญ่ รวมถึงอาจมีปัจจัยความเสี่ยงที่ท้าทายนักลงทุนจากที่มีการมองว่า แนวโน้มการซื้อขายเงินดิจิตัล หรือ Cryptocurrency ในอนาคตที่รวมถึง Bitcoin ด้วยนั้นจะถูกควบคุมจากกฎเกณฑ์ของทางการที่จะเข้ามาดูแลเสมือนหนี่งเป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่ง ไม่ใช่เป็นสกุลเงินตราเหมือนที่ผ่านมา


5.FBI ของสหรัฐ ร่วมมือกับ DEA หน่วยงานในสังกัดของ Europol สั่งปิด Dark-web (เว็บมืด) ชื่อว่า AlphaBay ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ยุติการเผยแพร่ข้อมูลให้กับลูกค้าในตลาด โดยกล่าวหาว่าเป็นเว็บไซต์ผิดกฎหมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจที่มีลักษณะคล้ายกับการค้ายาเสพติด การค้าอาวุธ และการขโมยข้อมูล
การปิด Dark-web ดังกล่าว ได้ส่งผลต่อนักลงทุนที่ซื้อขาย Cryptocurrency ที่ต้องการข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์จากเว็บไซต์เหล่านี้ ซึ่งมีการนำเสนอข้อมูลในสิ่งที่มีเดียกระแสหลักไม่ได้นำเสนอ
ทั้งนี้ พบว่า AlphaBay ได้มีการปิดเว็บไซต์ลงแล้วเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีสมาชิกถึง 200,000 ราย

logoline