เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปีช่วงกลางปี 2557 โดยเจ้าหน้าที่ล่ามของเอฟบีไอหญิงรายนี้ชื่อว่า นางเดเนียลลา กรีน โกหกผู้บังคับบัญชาโดยการแอบเดินทางไปหานายเดนิส คัสเพิร์ต อดีตแร็พเปอร์ชาวเยอรมันที่ไปเข้าร่วมไอเอสและมีชื่อใหม่ว่า "อาบู ตัลฮา อัล-อัลมานี" พร้อมกับตำแหน่งนักรบและเป็นผู้เกณฑ์นักรบเข้ากลุ่มไอเอส ทั้งยังเป็นผู้ที่ทางการสหรัฐระบุว่าเป็นผู้ก่อการร้ายระดับโลกซึ่งเป็นที่ต้องการตัวมากเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ นายคัสเพิร์ตยังเป็นผู้รอดชีวิตหลังจากการยิงมิสไซล์โจมตีฐานที่มั่นของไอเอสในปี 2558 ทางสหรัฐเชื่อว่าอดีตแร็พเปอร์คนนี้ยังมีชีวิตอยู่และอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่อยู่ในการควบคุมของกลุ่มไอเอส
ส่วนนางกรีน เกิดในดินแดนที่เคยเป็นประเทศเชโกสโลวาเกีย ก่อนไปเติบโตในเยอรมนี และแต่งงานกับทหารอเมริกันคนหนึ่งพร้อมทั้งย้ายมาอยู่ในรัฐเซาท์แคโรไลนาของสหรัฐ และจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคลมสัน ด้วยวุฒิปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์จากนั้นเอฟบีไอได้จ้างนางกรีนให้มาเป็นล่ามเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกำจัดสมาชิกภาคสนามของกลุ่มไอเอส โดยเธอต้องช่วยในการสืบสวนสมาชิกไอเอสคือนายคัสเพิร์ต โดยใช้โปรแกรมสไกป์ในการติดต่อกับผู้ก่อการร้ายคนนี้ นำไปสู่การพบกันของทั้งสอง
ต่อมาหญิงสาวหลอกผู้บังคับบัญชาว่าจะกลับไปเยี่ยมญาติในเยอรมนีแต่แล้วก็เปลี่ยนใจบินเข้าเมืองโตรอนโตของแคนาดา ต่อไปที่ตุรกีและประสานกับกลุ่มไอเอสเพื่อให้ช่วยพาเข้าไปยังซีเรียจากบริเวณชายแดน และไม่นานนักหลังเธอเดินทางถึงซีเรียในปี 2557ก็ได้เขียนอีเมลกลับไปยังสหรัฐโดยระบุว่า เธอจิตใจอ่อนแอ และได้สร้างความวุ่นวายให้กับอะไรหลายๆ อย่างในครั้งนี้
หลังจากนั้นไม่กี่วัน นางกรีนก็ได้เขียนอีเมลมาอีกว่าเธอไปแล้วและไม่อาจกลับไปได้ ขณะนี้เธออยู่ในซีเรีย และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้ายแรงพร้อมกับไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานขนาดไหน แต่ก็สายไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิงหาคม 2557 นางกรีนเดินทางกลับมายังสหรัฐและถูกจับโดยทันที หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นนายโธมัส จิลลิซ ผู้ช่วยอัยการสหรัฐระบุว่า นางกรีนถูกจับและจำคุก2 ปี ฐานละเมิดความไว้วางใจของสาธารณะและเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ แต่เธอได้รับการลดหย่อนโทษจากศาลแม้ว่าจะเป็นคดีร้ายแรงที่โยงกับการก่อการร้าย โดยการร้องขอกับศาลจากทางอัยการหน่วยงานด้านยุติธรรมสหรัฐที่ให้ลดโทษเพื่อแลกกับความร่วมมือจากอดีตล่ามเอฟบีไอผู้นี้