svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"ชายชุดดำ"...บทพิสูจน์จากคำพิพากษาศาล

สิ่งที่เป็นปริศนาที่ใหญ่ที่สุดจากเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในเดือนเมษายน 2553 คือกลุ่มชายชุดดำที่หลายคนเชื่อว่าเป็นตัวจุดชนวนความรุนแรงที่นำไปสู่การนองเลือดที่สี่แยกคอกวัว แต่แกนนำผู้ชุมนุมอ้างว่าชายชุดดำเป็นเพียงจินตนาการของฝ่ายอำนาจรัฐในขณะนั้นแต่เกือบ 7 ปีให้หลัง คำพิพากษาของศาลอาญาเป็นคำตอบที่ดีที่สุดว่า ชายชุดดำเหล่านี้มีตัวตนจริงหรือไม่

แต่เกือบ 7 ปีให้หลัง คำพิพากษาของศาลอาญาเป็นคำตอบที่ดีที่สุดว่า ชายชุดดำเหล่านี้มีตัวตนจริงหรือไม่
ค่ำคืนของวันที่ 10 เมษายน 2553 สี่แยกคอกวัวได้กลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อมกองกำลังทหารพยายามสลายการชุมนุมภายใต้การนำของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่ต้องการขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ   แต่ปฏิบัติการที่เรียกว่าปฏิบัติการ "ขอคืนพื้นที่" ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งเริ่มตั้งแต่บ่ายวันนั้นต้องประสบกับการต่อต้านอย่างหนัก และสิ่งที่เจ้าหน้าที่คาดไม่ถึงคือการปรากฏตัวของกลุ่มชายชุดดำที่มาพร้อมอาวุธสงครามและทำให้สถานการณ์คืนนั้นจบลงด้วยความรุนแรงอย่างคาดไม่ถึง มีผู้เสียชีวิตถึง 26 คน เป็นพลเรือน 21 คนและทหาร 5 นาย และหนึ่งในนั้นคือ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ฯ จ.ปราจีนบุรี
ถึงแม้จะมีพยานมากมาย และมีภาพที่แสดงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวของชายชุดดำในหลายจุด  แต่ก็ยังเป็นประเด็นถกเถียงมาตลอดว่าชายชุดดำเหล่านี้มีตัวตนจริงหรือไม่  หรือเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ชุมนุมแค่ไหน แต่คำพิพากษาของศาลอาญาเมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมาเป็นกุญแจไขปริศนานี้ที่ดีที่สุด 
หนึ่งในชายชุดดำที่ปรากฏตัวในคืนนั้นคือ นายกิตติศักดิ์ หรืออ้วน สุ่มศรี  ซึ่งมีอาชีพขับรถตู้และทำหน้าที่เป็นการ์ดของ นปช. ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมในการก่อความรุนแรง   แต่ที่นายกิตติศักดิ์ปฏิเสธไม่ได้ก็คือเขาอยู่ในกลุ่มของชายชุดดำอย่างแน่นอน
พยานสำคัญคือทหารม้าที่ขับรถฮัมวี่ เข้าไปร่วมในปฏิบัติการขอคืนพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ระหว่างที่จอดรถรอ รถตู้โตโยต้าสีขาวคันหนึ่งวิ่งผ่าน ก่อนที่ชายคนหนึ่งจะเปิดประตูเลื่อนด้านข้างและตะโกนด่าทหารพยานยืนยันกับศาลว่าจำหน้าชายคนนั้นได้เป็นอย่างดีและทราบภายหลังว่าคือนายกิตติศักดิ์
แต่สิ่งที่ผิดปกติคือปืนเอ็ม 16 และปืนอาก้าที่ทหารม้าคนดังกล่าวเห็นวางอยู่ในรถตู้คันดังกล่าว พยานสำคัญอีกปากคือพี่สาวของผู้ร่วมชุมนุมคนหนึ่งที่มีความใกล้ชิดนายกิตติศักดิ์ เธอยืนยันว่าน้องชายของเธอและนายกิตติศักดิ์ซึ่งมีอาชีพขับรถตู้ได้ไปร่วมชุมนุมกับ นปช. หลายครั้ง แต่สิ่งที่เธอเห็นคืนก่อนเหตุวันที่ 10 เมษายน 2553 ทำให้เธอรู้ว่ามีสิ่งไม่ปกติกำลังจะเกิดขึ้น   น้องชายของเธอและนายกิตติศักดิ์พร้อมภรรยา กับชายอีกสองคนช่วยกันขนกระเป๋าสีดำขนาดยาวจากรถกระบะไปไว้ในรถตู้คันหนึ่ง น้องชายของเธอ ซึ่งเป็นเจ้าของรถตู้คันดังกล่าว บอกกับเธอว่าในกระเปาใบนั้นมีเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 และเธอก็มองเห็นสิ่งที่ดูเหมือนเป็นอาวุธปืนโผล่ออกมาจากกระเป๋า
นายกิตติศักดิ์ยังยอมรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่าวันเกิดเหตุได้นั่งรถตู้พร้อมกับคนอื่นๆ ไปที่ชุมนุมและจอดรถที่บริเวณวัดมหรรณพารามวรวิหาร  หลังจากนั้นได้สวมหมวกไหมพรมสีดำ คลุมใบหน้า เสื้อแขนยาวสีดำ และมีการนำผ้าแดงมาผูกไว้ที่แขน  และแจกจ่ายอาวุธกันก่อนจะออกไปปฏิบัติการ นายกิตติศักดิ์พยายามต่อสู้ในระหว่างการพิจารณาคดีว่าถูกทหารข่มขู่จึงต้องรับสารภาพ และในคืนที่เกิดเหตุกำลังเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดลำปาง   แต่ศาลเห็นว่าพยานให้การสอดคล้องกันและนายกิตติศักดิ์ไม่สามารถหาคนมายืนยันได้ว่าไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ ศาลติดสินจำคุกนายกิตติศักดิ์เป็นเวลา 10 ปีนี้ข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ.2490 และฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
ชายในชุดดำอีกหนึ่งคนคือนายปรีชา อยู่เย็น พยานสำคัญเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นายที่แฝงตัวอยู่ในที่ชุมนุม ในช่วงเวลาเกิดเหตุนายปรีชาและพวกซึ่งสวมชุดดำถูกการ์ดของนปช.ตรวจบัตรขณะพยายามจะเข้าไปในที่ชุมนุม ตำรวจซึ่งเป็นพยานได้เข้าไปถอดหมวกไหมพรมของหนึ่งในชายชุดดำออก และยึดอาวุธปืนที่พกติดตัวมาด้วย  และทราบว่าคือนายปรีชา หนึ่งใน 5 จำเลยของคดีนี้
นายปรีชาอ้างว่าในคืนเกิดเหตุกำลังทำงานเดินสายไฟอยู่อีกสถานที่หนึ่งแต่ก็ไม่สามารถหาพยายามายืนยันได้ นายปรีชาถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 10 ปีเช่นเดียวกับนายกิตติศักดิ์ในข้อหาเดียวกัน แต่ศาลยกฟ้องจำเลยอีกสามคน เพราะถึงแม้จะมีพยานให้การหลายปาก แต่ศาลเห็นว่าน้ำหนักไม่มากเพียงพอและขาดหลักฐาน 
ถึงแม้การพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่นี่เป็นการยืนยันผ่านกระบวนการยุติธรรมเป็นครั้งแรกว่าชายชุดดำที่ก่อเหตุรุนแรงในวันที่ 10 เมษายน 2553 มีตัวตนจริง  คนที่ปฏิเสธความมีตัวตนของชายชุดดำอย่างแข็งขันที่สุดก็คือ แกนนำ นปช. อย่างเช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งอ้างว่า เรื่อง"ชายชุดดำ" เป็นการสร้างสถานการณ์ของฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้น
เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. อีกคนหนึ่งพยายามยืนยัน"ชายชุดดำ" ไม่มีอยู่จริง และความสูญเสียที่เกิดขึ้น เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ย้อนหลังไปก่อนจะเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน ปี 2553 หนึ่งปี   กลุ่มคนเสื้อแดงได้รวมตัวกัน ขับไล่"รัฐบาลอภิสิทธิ์" ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ในปี 2552 แต่การชุมนุมก็ถุกสลายโดยกองกำลังของรัฐบาล มันเหตุการณ์ที่คนเสื้อแดงชูเป็นบทเรียน และประกาศอย่างเปิดเผยว่าจะไม่ยอมประสบกับความพ่ายแพ้แบบนั้นอีก และไม่มีใครทำให้เห็นภาพของความตั้งใจของคนเสื้อแดงที่จะสู้กับอำนาจรัฐในทุกรูปแบบได้ชัดไปกว่า คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน มีข้อสรุปในเรื่องชายชุดดำที่ไม่ต่างกัน   นายคณิตเปิดเผยผลการค้นหาความจริงว่า พบหลักฐานว่ามี "คนชุดดำ" ไม่ทราบฝ่ายแน่ชัด ใช้อาวุธสงครามโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารที่ถนนตะนาว และถนนข้าวสาร บริเวณสี่แยกคอกวัว โดยในเวลาประมาณ 20.00 น. ได้ใช้ระเบิดเอ็ม 79 และอาวุธปืนเล็กยาวหรืออาวุธสงครามยิงใส่เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปฏิบัติการและ คอป.ยังพบว่า การปฏิบัติการของ"คนชุดดำ" ในทั้ง 2 พื้นที่นั้นได้รับการสนับสนุนจากการ์ด นปช.บางคน และพบว่าคนชุดดำบางคนเป็นผู้ใกล้ชิดกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และพบว่า พล.ต.ขัตติยะปรากฏตัวในบริเวณดังกล่าว ทั้งก่อนเกิดเหตุการณ์ และหลังเหตุการณ์ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าคำพิพากษาของศาลอาญาเป็นสิ่งที่ยืนยันแน่ชัดว่า " ชายชุดดำ"ที่มีการกล่าวถึงมาโดยตลอด ได้กระทำความผิดจริงตามข้อเท็จจริงและหลักฐานที่ปรากฏ ซึ่งสามารถหักล้างการกล่าวอ้างของ"กลุ่มการเมือง"ที่ว่า ทหารยิงกันเอง จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายได้     แต่คำพิพากษาของศาลอาญาไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชายชุดดำทั้งสองคน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของพลเรือนและทหารในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 จำเลยทั้ง 5 คน ไม่ได้ถูกดำเนินคดีข้อฆ่าคนตาย แต่เป็นข้อหา ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ เท่านั้น และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ความหวังว่าตำรวจจะสามารถจับผู้ต้องสงสัยชายชุดดำคนอื่นๆ ที่ยังหลบหนีอยู่ได้ ซึ่งหมายความว่าถ้าคดีนี้จบลงเท่านี้  เราอาจจะไม่มีทางรู้เลยว่าใครเป็นคนฆ่า พล.อ.ร่มเกล้า และช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่บันทึกภาพเหตุความรุนแรง   ในการแถลงข่าวเมื่อเดือนเมษายน 2557 ตำรวจที่ทำคดีนี้สร้างคาดหวังให้กับสังคมว่าการจับผู้ต้องสงสัยทั้งห้าคนได้จะนำไปสู่การเปิดเผยตัวคนที่ฆ่า พล.อ. ร่มเกล้าได้ ถึงแม้การจับผู้ต้องสงสัยได้จะทำนางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พล.อ. ร่มเกล้า เริ่มมีความหวังที่จะได้รับความเป็นธรรม แต่ข้อความที่เธอโพสต์ใน facebookในช่วงเวลานั้นสะท้อนให้เห็นว่าเธอก็ยังไม่มั่นใจว่าสุดท้ายแล้วสังคมจะได้รับรู้ความจริงแค่ไหน
"เป็นนิมิตรหมายดี ที่บัดนี้ หน่วยงานความมั่นคงทั้งทหาร ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่มีจิตสำนึกได้ร่วมกันสืบค้นคดีนี้ แต่ก็คงต้องใช้ความรอบคอบอย่างมาก เพราะในช่วงที่ผ่านมา ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับหลักฐานข้อเท็จจริงของคดีทั้งหมด.... วันนี้อย่างน้อย ก็ได้ข้อสรุปให้สังคมประจักษ์ว่ามี "ชายชุดดำ"ที่ทำร้ายทหารและประชาชนผู้บริสุทธิ์จริง หวังว่าจะโยงถึงผู้สั่งการ ผู้เกี่ยวข้องกับคดีทั้ง 89 ศพในปี 2553"
แต่จนถึงวันนี้ความหวังของนิชาที่จะเห็นหน้าคนที่รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของสามีเธอและผู้เคราะห์คนอื่นๆ จากเหตุรุนแรงทางการเมืองในปึ 2553 ยังห่างไกลจากความจริงมาก เช่นเดียวกับครอบครัวของนาย ฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น ที่ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ ในเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ที่ยังรอคอยความเป็นธรรมอยู่ถึงทุกวันนี้