svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

เยอรมันได้ทองคำ 300 ตันคืนจากอเมริกา ส่งให้ธนาคารกลางมีเก็บในคลัง 1,600 ตัน

รัฐบาลเยอรมันทวงคืนทอง 300 ตันได้ครบถ้วนจากสหรัฐ เพื่อนำกลับเข้าประเทศได้เร็วกว่ากำหนดเวลาถึง 3 ปี หลังจากที่ถูกนำมาฝากไว้กับธนาคารกลางสหรัฐตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้บุนเดสแบงก์ซึ่งเป็นธนาคารกลางของเยอรมันมีทองคำเก็บไว้ในคลังมากถึง 1,600 ตัน จากจำนวนทองคำที่มีอยู่ทั้งหมด 3,381 ตัน โดยที่ราคาทองซื้อขายในตลาดล่าสุดปรับตัวลดลงมาที่ 1,227 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากขึ้นไปแตะที่ 1,243 ดอลลาร์เมื่อวันวันพุธ

ขณะที่ทิศทางหุ้นโลกโงหัวขึ้นเมื่อวานนี้ นำโดยหุ้นทั้ง 3 ตลาดของสหรัฐ ทั้งดัชนีดาวโจนส์พุ่งทำสถิติสูงสุดที่ 20,172 เช่นเดียวกับทิศทางของ S&P 500 ทำสถิติใหม่ทะลุ 2,300 และ Nasdaq พุ่งทำสถิติสูงสุดทะลุ 5,700
ท่ามกลางกูรูสหรัฐถกทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐภายใต้นโยบายของทรัมป์ตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า ใต้เงามืด (Dark Shadow) เนื่องจากมีแนวโน้มจะชะลอตัวลง รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐจะมีทิศทางที่เป็นขาลง

1.หลังจากที่ธนาคารกลางเยอรมัน หรือบุนเดสแบงก์ ประกาศแผนทวงคืนทองที่ฝากไว้ในต่างประเทศโดยเฉพาะทองคำที่ฝากไว้กับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จำนวน 300 ตัน และธนาคารฝรั่งเศสจำนวน 374 ตัน รวมทั้งสิ้น 674 ตันตั้งแต่ปี 2013 โดยมีสัญญาว่ามีการทยอยคืนจนครบภายในปี 2020
แต่ล่าสุดบุนเดสแบงก์รายงานว่า ได้รับทองคำครบทั้งหมดจำนวน 300 ตันจากเฟดแล้ว ก่อนที่จะครบกำหนดถึง 3 ปี จึงยังเหลือทองอีกเพียง 91 ตันที่ฝากไว้ในธนาคารกลางฝรั่งเศส ทำให้ทองที่ได้รับคืนนั้นมีจำนวน 583 ตันหรือกว่า 86% ส่งผลให้ให้บุนเดสแบงก์มีทองคำเก็บไว้ในคลังมากถึง 1,600 ตัน จากจำนวนทองคำที่มีอยู่ทั้งหมด 3,381 ตัน
ทั้งนี้ เยอรมันยังมีทองคำอีกจำนวนหนึ่งที่ฝากไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษ โดยทองดังกล่าวถูกนำไปฝากไว้ในต่างประเทศนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยช่วงเช้าวันนี้ราคาทองเปิดซื้อขายในตลาดสปอตที่เซี่ยงไฮ้ย่อตัวลงที่ 1,225 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลดลงจากที่ขึ้นไปเทรดที่ 1,243 ดอลลาร์ในวันพุธที่ผ่านมา

2.หุ้นสหรัฐออกตัวแรงทั้ง 3 ตลาด ทั้งดัชนีดาวโจนส์พุ่งทำสถิติสูงสุดที่ 20,172 เมื่อวันพฤหัสฯ เพิ่มขึ้น 118 จุด หรือ 0.59% เช่นเดียวกับ S&P 500 ทำสถิติใหม่ที่ 2,307 เพิ่มขึ้น 0.58% และ Nasdaq พุ่งทำสถิติสูงสุดที่ 5,715 เพิ่มขึ้น 0.58% ขณะที่หุ้นเอเชียได้รับอานิสงส์ในทิศทางที่ปรับตัวสูงขึ้นในรอบ 18 เดือน ท่ามกลางความเสี่ยงของสัญญาณลบหลายอย่างทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
3.ทั้งนี้ ในเวทีเสวนาของกูรูหุ้นที่จัดโดย Yahoo! Finance เมื่อวันพุธ โดยที่ Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock ซึ่งบริหารกองทุนขนาดใหญ่ถึง 5.1 ล้านล้านดอลลาร์เชื่อว่า ตลาดหุ้นสหรัฐจะมีแนวโน้มขาลง เนื่องจากมองเห็นสัญญาณในเงามืดหลายอย่างภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐกำลังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าจะชะลอตัวลง ซึ่งเป็นปัญหาที่มาจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ขณะที่แผนการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อประโยชน์ของนักลงทุนกว่าจะเห็นผลก็จะเป็นปี 2018 ซึ่งเขาได้เตือนเรื่องนี้มาตั้งเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ความผันผวนจะเกิดขึ้นในตลาดบอนด์โดยที่อัตราบอนด์ยีลด์ 10 ปีของสหรัฐ เพราะแทนที่จะลดลงต่ำกว่าระดับ 2% แต่กลับมีความเป็นไปได้ที่จะพุ่งขึ้นสูงถึง 4% ซึ่งจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจเกิดภาวะเงินฝีดที่ตามมา

4.ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ เตรียมปิดสาขาในลอนดอน กลับเข้าตลาดสหรัฐ เพื่อขานรับการผ่อนคลายทางการเงินในกฎหมาย Dodd-Frank ของทรัมป์ที่จะเปิดทางให้แบงก์ในสหรัฐสามารถเข้าทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างเสรีมากขึ้นเหมือนในช่วงก่อนเกิดวิกฤติการเงินสหรัฐในปี 2008
โดยที่หลายคนสงสัยว่า หากการที่โกลด์แมน แซคส์ ปิดสาขาในลอนดอน พร้อมกับถอนธุรกรรมทางการของลูกค้าและพนักงานกลับเข้าสหรัฐนั้น อาจเป็นเพราะเหตุผลของ Brexit ด้วยนั้น แต่ทำไมจึงไม่ย้ายสาขาเข้าไปอยู่ในแฟรงค์เฟิร์ต หรือปารีสแทน

5.จากรายงานผลการระดมสมอง British think tank เกี่ยวกับการนำเอาหุ่นยนต์มาทำงานทดแทนคนทำงาน บ่งชี้ว่าบรรดาบุคลากรที่ปฏิบัติงานในภาครัฐบาลอังกฤษช่วงทศวรรษหน้า อาจต้องตกงานถึง 850,000 คน เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับใช้หุ่นยนต์มาแทนถึง 90% ของจำนวนบุคลากรทั้งหมด
โดยกลุ่มคนที่จะตกงานนี้จะประกอบด้วยผู้จัดการ ผู้อำนวยการและผู้บริการงานระดับสูง หรือระดับผู้ช่วยผู้เชี่ยวชาญ หรือตำแหน่งงานด้านการให้บริการ รวมทั้งกระบวนการทำงานที่ใช้เครื่องจักรกล