svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

นิตยสาร "ไทม์" ยก "โดนัลด์ ทรัมป์" เป็น Person of the Year

08 ธันวาคม 2559
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

จับตา ECB และเฟดดำเนินนโยบายการเงินสวนทางกันแบบ 180 องศา เพราะขณะที่ ECB ถูกมองว่าจะยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายโดยยืนดอกเบี้ย 0% และต่ออายุ QE ในการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินต่อเนื่องไปอีก 9 เดือนจนถึงปลายปี 2017 แต่เฟดอาจต้องขันสกรูนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายระหว่าง 0.25-0.5%

ส่วนนิตยสารไทม์ทำเซอร์ไพรส์คนทั่วโลกยกย่องโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ปธน.สหรัฐให้เป็นบุคคลแห่งปี Person Of The Year ด้วยเหตุผลว่าเขาคือบุคคลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงของปี 2016 หรือ The real change-maker of 2016 ที่สามารถชนะการเลือกตั้งป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
โดยทรัมป์เพิ่งจะแสดงท่าทีว่าจะยกเลิกสัญญาที่ทำกับโบอิ้งในการผลิตเครื่องบิน AirForce 1 ลำใหม่ที่มีการบิดเบือนราคาถึง 4 พันล้านดอลลาร์เพื่อประหยัดงบประมาณใช้จ่าย ขณะเดียวกันทรัมป์ได้ทวิตว่าบริษัท Softbank ของญี่ปุ่นจะลงทุนในสหรัฐวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ที่จะมีการจ้างงานคนอเมริกัน 50,000 ตำแหน่ง
1. นักลงทุนทั่วโลกจับตาการแถลงข่าวของมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในช่วงค่ำวันนี้ ที่ดูเหมือนว่าบรรดานักวิเคราะห์และนักยุทธศาสตร์จะเชื่อไปแล้วว่า ECB จะยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่องไปอีก โดยใช้นโยบายดอกเบี้ยเงินกู้ที่ 0% และดอกเบี้ยเงินฝากที่อัตราติดลบ 0.4% และจะยังคงต่ออายุ QE ที่ใช้วงเงิน 8 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนเพื่อการเข้าซื้อบอนด์และสินทรัพย์การเงินของรัฐบาลและธุรกิจเอกชนในยุโรปที่จะครบกำหนดในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ ออกไปอีก 9 เดือนจนถึงสิ้นปี 2017 แต่อาจจะปรับลดวงเงินลงที่ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน
ทั้งนี้ สาเหตุที่กดดันให้ ECB ยังคงต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในเหตุการณ์ทางการเมืองของยุโรปที่อาจจะกระทบต่อเสถียรภาพ รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่ออนาคตทางเศรษฐกิจและการเงิน รวมทั้งการอุ้มช่วยเหลือวิกฤติแบงก์ในอิตาลีที่มีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมากกว่า 3.7 แสนล้านยูโร หลังจากที่ประชามติชาวอิตาลีออกมาโหวต No จนทำให้ Matteo Renzi ต้องยื่นลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งมีผลอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า ECB อาจจะยุติโปรแกรม QE และเพิกถอนวงเงินซื้อสินทรัพย์ทางการเงินดังกล่าว

2. ขณะที่มีรายงานข่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดที่จะมีการประชุมนัดสุดท้ายปีนี้ในวันที่ 13-14 ธ.ค.นั้น เจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดอาจตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย สวนทางกับทางยุโรป โดยอาจจะปรับขึ้นระหว่าง 0.25-0.5% เนื่องจากเธอเคยไปกล่าวกับคองเกรสสหรัฐว่า สถานการณ์ในตลาดการเงินสหรัฐในขณะนี้ดูเหมือนจะตอบรับกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดไปเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากเจเน็ต เยลเลน ทำการปรับขึ้นดอกเบี้ยโดยเฉพาะที่อัตรา 0.5% จริงก็จะเป็นการท้าทายทรัมมป์ที่มีเป้าหมายจะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐผ่านนโยบายการคลังโดยใช้งบประมาณขาดดุลสูง และมาตรการลดภาษี นอกจากนี้เธอก็จะถูกมองว่าอาจเป็นการขันสกรูนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นต่อนโยบายเศรษฐกิจเชิงรุกของทีมงานโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะนี้

3. รัฐบาลอิตาลีเตรียมการใช้เงินซื้อหุ้นเพิ่มทุน 2 พันล้านยูโรเพิ่มอืมแบงก์ Monte Paschi ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามในระบบธนาคารอิตาลี รวมถึงการแปลงหนี้จากการถือบอนด์เป็นทุน 40% ซึ่งจะทำให้รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในแบบที่เรียกว่า Nationalize Bank เนื่องจากแบงก์ดังกล่าวมีฐานะสินทรัพย์ที่ด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

4. จับตาการประชุมรัฐสภาของเกาหลีใต้ในวันศุกร์นี้ เพื่อพิจารณาวาระการถอดถอนนางปัก กึน เฮ จากตำแหน่งประธานาธิบดี หลังจากมีรายงานข่าวว่าเธออาจรู้เห็นกับการทุจริตคอร์รัปชันของคนสนิทที่กำลังถูกดำเนินการในกระบวนการทางกฎหมาย ขณะที่เงินวอนอ่อนค่าลงต่อเนื่องจากช่วงเวลาที่ปรากฏเป็นข่าวจากระดับ 1,134 มาอยู่ที่ล่าสุด 1,167 วอนต่อดอลลาร์

5. หุ้นสหรัฐทั้ง 3 ตลาดทะยานขึ้น โดยดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ 297 จุดหรือบวก 1.55% ปิดที่ 19,549 ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 1.32% ปิดที่ 2,241 และ Nasdaq พุ่งขึ้น 1.14% ปิดที่ 5,393 สวนทางราคาน้ำมันเวสต์เท็กซัส WTI ร่วงหลุดระดับ 50 ดอลลาร์มาปิดที่ 49.77 ดอลลาร์บาร์เรลเป็นการปรับลดลงถึง 1.16 ดอลลาร์หรือลดลง 2.28% ขณะที่ราคาปรับตัวขึ้นกว่า 7 ดอลลาร์มาปิดที่ 1,177 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับหุ้นยุโรปพุ่งขึ้นเฉลี่ย 1.34% ขานรับข่าว ECB ต่ออายุมาตรการใช้ QE โดยที่ทั้ง 3 ตลาดหลักทะยานขึ้นรุนแรง ทั้งตลาดหุ้นลอนดอน FTSE 100 พุ่งขึ้น 1.81% ดัชนีหุ้นฝรั่งเศส CAC 40 พุ่งขึ้น 1.36% และดัชนีหุ้น DAX เยอรมันพุ่งขึ้น 1.96%

logoline