กัมพูชาหันมาเลี้ยงกบ

รอส เมา ชาวนาในชุมชนโปเปล จังหวัดตาแกว เลี้ยงกบมาตั้งแต่ปี 2549 โดยกบของเขา นำไปใช้ในการบริโภคในครอบครัวและใช้เป็นสัตว์ไล่แมลงตามธรรมชาติ ทดแทนการใช้สเปรย์เคมีที่มีราคาสูงกว่า 
กบเหล่านี้กินแมลงที่มาเกาะกินต้นอ่อนของข้าว ขณะเดียวกัน ก็ช่วยเพิ่มอากาศและทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ ทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวได้มากขึ้น 
ศูนย์เพื่อการศึกษาและพัฒนาการเกษตรแห่งกัมพูชา (CEDAC) ส่งเสริมให้เลี้ยงกบมาตั้งแต่ปี 2540 เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอกว่า การจับกบที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้เกษตรกรไม่อยากใช้กบกำจัดแมลง เพราะในอดีต เคยมีชาวนาพยายามแล้ว แต่ต้องเสียกบไปจำนวนมากให้กับนักจับกบ
ศูนย์ CEDAC ศึกษาวิธีการเลี้ยงกบที่ดีขึ้น เพื่อใช้ถ่ายทอดเป็นความรู้ให้กับชาวนา อย่างแรกคือ กบนั้นเป็นแหล่งโปรตีนอันยอดเยี่ยมสำหรับชาวนาและครอบครัว อย่างที่สองคื การเลี้ยงกบช่วยให้ประชาชนไม่ต้องหมดเงินไปกับการซื้ออาหาร
กบย่างมีรสชาติอร่อยและราคาถูก เป็นของว่างยอดนิยมในหลายพื้นที่ของกัมพูชา มีราคาอยู่ที่ตัวละ 15 บาท โดยผู้ที่ซื้อทานบอกว่า มีรสอร่อยเหมือนเนื้อไก การล่ากบมากที่สุดของปีนั้น เกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูฝน เพราะเวลานี้จะมีกบจำนวนมาก และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ชาวนาเริ่มปลูกข้าว 
ผู้เชี่ยวชาญ บอกว่า หากไม่มีมาตรการจำกัดการล่ากบในช่วยฤดูดำนา กบก็จะถูกจับไปจนหมดทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงเวลาที่จำเป็นต้องพึ่งพากบมากที่สุด ในการปกป้องต้นอ่อนของข้าวจากแมลง
ราคาขายส่งของกบนั้นอยู่ที่กิโลกรัมละเกือบ 70 บาท และชาวนาอย่าง รอส เมา ก็พิสูจน์ว่าการเลี้ยงกบนั้น ทำเงินได้ 
ตั้งแต่เริ่มเลี้ยงกบเมื่อปี 2549 ผลผลิตข้าวของเขาเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า แต่มีชาวนาน้อยรายที่จะทำแบบนี้ เพราะกลัวว่านับจับกบจะมาล่ากบไปจากนา และไม่อยากเสียเงินล้อมรั้วเพื่อกันไม่ให้กบออกไปจากพื้นที่