ผู้ค้า"คลองถม"เฮ กทม.ยอมขยายเวลาขายถึงต้น มี.ค.58

นายวัลลภ กล่าวว่า ในวันนี้เป็นการร่วมประชุมเพื่อชี้แจงให้ทราบถึงการจัดระเบียบ โดยมีตัวแทนกลุ่มผู้ค้าบนถนน 9 สาย จากผู้ค้าทั้งหมดกว่า 2 พันราย ซึ่งการจัดระเบียบจะต้องมีพื้นฐานบนความเข้าใจ และจะต้องไม่มีผลประโยชน์เอื้อหนุนกับคนบางกลุ่ม และจะต้องอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย บ้านเมืองถึงจะอยู่ได้ ตามนโยบายการจัดระเบียบทางเท้าของผู้ว่าฯกทม. โดยกทม.ขอความร่วมมือ และความเข้าใจว่า กทม.จะต้องดูแลสวัสดิภาพ ความปลอดภัย สาธารณภัย สุขภาพอนามัยของชีวิตประชาชน เนื่องจากปัญหาต่างๆเกิดจากความไม่เป็นระเบียบของผู้ค้าย่านคลองถม ทำให้เกิดการร้องเรียนจากผู้พักอาศัยในพื้นที่ และหน่วยงานของรัฐ เช่นโรงพยาบาลกลาง ไม่ได้รับความสะดวกจากผู้ใช้บริการ หรือรถพยาบาล
ด้านพล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า เรื่องที่ประชาชนร้องเรียนมากที่สุด และต้องเร่งแก้ไข 1.เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 2.ปัญหายาเสพติด และ3.ความไร้ระเบียบวินัย สกปรกเลอะเทอะของกรุงเทพฯ ซึ่งปัญหาผู้ค้าคลองถม เป็นเรื่องที่กทม.จะต้องลงมาดูแลและแก้ไข เพราะมีผลกระทบกับสภาพโดยรวม และจะต้องหาทางออกร่วมกันโดยการพูดคุย จะต้องไม่มีการใช้กฎหมู่โดยการนำมวลชนมากดดันกฎหมาย
พล.ต.วิชัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ กทม.เข้าใจว่าการยกเลิกค้าขายจะกระทบกับผู้ค้า แต่ยืนยันว่าไม่ได้ให้หยุดขาย แต่หากค้าขาย ก็จะต้องไม่กระทบโดยรวม และจากที่ประชุมกลุ่มผู้ค้าได้ยื่นข้อเสนอในเรื่องของการยืดระยะเวลาค้าขายออกไปนั้น ซึ่งจากเดิมได้อนุญาตให้ผู้ค้าขายได้ถึงสิ้นปี 2557 และจะเริ่มบังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน ในวันที่ 3 ม.ค.2558 เป็นต้นไป แต่กทม.มีความเห็นใจกลุ่มผู้ค้า จึงจะยืดระยะเวลาให้ผู้ค้าคลองถมต่อไปจนถึงต้นเดือนมี.ค.2558 แต่ในช่วงระยะเวลาที่ผ่อนผัน ผู้ค้าจะต้องอยู่ในกรอบการจัดระเบียบ โดยจะต้องไม่สร้างผลกระทบกับโดยรวม จากนั้นจะอนุญาตให้ขายต่อที่เดิม หรือจะจัดหาสถานที่ใหม่ให้นั้น จะต้องหารือกันอีกครั้ง แต่คาดว่าภายในเดือนธ.ค.นี้น่าจะได้ข้อสรุป
"ในส่วนของกลุ่มผู้ค้าที่ยื่นข้อเสนอให้กทม.ผ่อนผันต่อไปอีก 6 เดือน ถึง 1 ปีนั้น ผมจะรับเรื่องไว้พิจารณาเพื่อเสนอให้รัฐบาล กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาหารือร่วมกัน"พล.ต.ต.วิชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมผู้ค้าหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดระเบียบได้สะท้อนถึงปัญหาความเดือดร้อน หากมีการจัดระเบียบ หรือจะต้องย้ายแหล่งไปค้าขายที่อื่น และมองว่ากลุ่มผู้ค้าไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน แต่เป็นรถของผู้ซื้อที่จอดกีดขวางการจราจร อีกทั้งเป็นตลาดค้าขายที่มีมายาวนาน เป็นแหล่งที่ทำมาหากินของผู้มีรายได้น้อย จึงไม่เห็นด้วยหากกทม.จะย้ายทำเลหากิน นอกจากนี้ผู้ค้าบางส่วนที่ยอมรับกับการจัดระเบียบ ระบุว่าหากจะต้องย้ายแหล่งค้าขายจริง ก็ร้องขอให้กทม.ช่วยหาสถานที่กว้างขวาง ให้มีพื้นที่สำหรับจอดรถกับผู้ค้าผู้ซื้อ และจะต้องเป็นเส้นทางที่มีรถระบบขนส่งมวลชนวิ่งผ่านสะดวก