svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

สิงห์ควัก 8 พันล้าน เทกโอเวอร์หุ้นรสา

17 เมษายน 2557
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

กลุ่มทุนใหญ่"สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ" ทุ่มเกือบ 8,000 ล้านบาทท เทคโอเวอร์ "รสา" หวังแบ็คดอร์เข้าตลาดหุ้น พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น "สิงห์เอทเตท" รุกธุรกิจโรงแรมและอสังหาฯให้เช่า

ด้านรสาเผยการแข่งขันรุนแรง จึงมุ่งสู่ธุรกิจโรงแรม ภายใต้แบรนด์ "สันติบุรี" หลังโอนกิจการ "สันติ ภิรมย์ภักดี" ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ต้องทำสัญญาไม่ทำธุรกิจแข่ง  ผลพวงจากปัญหาการเมืองในประเทศที่ยังไร้ข้อยุติ และส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเกือบทุกอุตสาหกรรม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก เริ่มส่งสัญญาณขาดสภาพคล่อง เนื่องจากยอดขายลดลง หลายรายพับแผนออกโครงการใหม่ จึงถือเป็นช่วงจังหวะทองของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่มีสภาพคล่องสูง หรือฐานทุนหนา เริ่มแสวงหากิจการดีแต่ขาดสภาพคล่อง  ล่าสุดกลุ่มบริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (RASA) โดยนายรพิ พินิจชอบ กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา เปิดทางให้บริษัท สันติบุรี และบริษัท เอส ไบรท์ฟิวเจอร์ ซึ่งบริษัทบริษัทลูกของบริษัท สิงห์พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ เข้ามาควบรวมกิจการกับบริษัท พร้อมให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติในการควบรวมครั้งนี้ และให้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) พร้อมจัดตั้งบริษัท เอส โฮเทล แมเนจเม้นท์ เป็นบริษัทย่อย เพื่อประกอบธุรกิจบริหารกิจการโรงแรม การควบรวมครั้งนี้ ถือเป็นกลุ่มทุนน้ำเมารายใหญ่อีกรายหนึ่ง ที่เข้ามาควบรวมกิจการในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเข้าตลาดหุ้นทางรัด ซึ่งช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ กลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ก็ได้ใช้ไทยเบฟฯ เข้ามาควบรวมกิจการอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ โกลด์เด้นแลนด์ และยูนิเวนเจอร์ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงธุรกิจ และหันหารายได้จากช่องทางอื่นมาเสริมธุรกิจหลัก ทั้งนี้บริษัท สันติบุรี ทำธุรกิจโรงแรมและที่พัก เป็นเจ้าของโรงแรมสันติบุรี บีช รีสอร์ท กอล์ฟ แอนด์สปา มีนายสันติ ภิรมย์ภักดี เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 99.99% ขณะที่บริษัท เอส ไบร์ทฟิวเจอร์ มีบริษัท สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 99.99% ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท และผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ บริษัท ภิรมย์พัฒน์ และบริษัท แม็กซ์ฟิวเจอร์  สิงห์ทุ่มทุนเกือบ8,000 ล้าน โดยบริษัทจะรับโอนกิจการทั้งหมดของ 2 บริษัท พร้อมออกหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 4.16 พันล้านหุ้นเสนอขายให้กับบุคคลในวงจำกัด (พีพี) 2 ราย เพื่อชำระค่าตอบแทนการโอนกิจการแทนเงินสด คือ จัดสรรให้กับนายสันติ ภิรมย์ภักดี ในราคาหุ้นละ 1.87 บาท เป็นมูลค่ารวม 2.3 พันล้านบาท และจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้กับบริษัท สิงห์พร็อพเพอร์ตี้ฯ ในราคาหุ้นละ 1.87 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 5.48 พันล้านบาท คาดว่ากระบวนการรับโอนกิจการจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2557  ทั้งนี้การรับโอนกิจการในครั้งนี้ถือเป็นการเข้าจดทะเบียนหลักทรัพย์โดยทางอ้อม หรือ แบ็คดอร์ลิสติ้ง (Backdoor Listing) บริษัทจึงตั้งบริษัท แอดไวเซอรี่พลัส เป็นที่ปรึกษาการเงินอิสระ และขออนุมัติการทำรายการต่อตลาดหลักทรัพย์ พร้อมขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งจะต้องได้รับเสียงสนับสนถนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสีบงทั้งหมดที่มาประชุม  นอกจากนี้ยังจะเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัจิการขายที่ดินจำนวน 33 ไร่ 3 งาน 81.4 ตารางวา ในต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ให้กับนายรพิ พินิจชอบ ซึ่งเป็นผู้หุ้นรายใหญ่ และผู้บริหารของบริษัท ในราคา 198 ล้านบาท และยกเลิกสัญญาการจัดการลงทุนกับบริษัท สยามไพรม์ โดยบริษัทจะชำระเงิน 51 ล้านบาท เป็นค่าตอบแทนให้แก่บริษัท สนามไพรม์เพื่อซื้อพื้นที่พาณิชกรรมของโครงการ เดอะ ไลท์ เฮาส์ ในส่วนที่เป็นของสยามไพรม์  "ธุรกิจปัจจุบันของบริษัท ในส่วนของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย มีการแข่งขันที่สูงขึ้น บริษัทจึงมีแผนในการเข้าดำเนินธุรกิจโรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ด้วยการลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพในการพัฒนาอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสมและมีความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การรวมกิจการครั้งนี้บริษัทคาดว่าจะได้ประโยชย์ในการขยายและเพิ่มขนาดของธุรกิจ มีโอกาสในการเพิ่มรายได้และผลตอบแทนในระยะยาว พร้อมทั้งมีผู้บริหารใหม่ที่มีประสบการณ์และความชำนาญในธุรกิจ" เปิดทางทุนใหญ่ควบรวมเพื่ออยู่รอด การรวมกิจการครั้งนี้ นอกจากจะต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทและบริษัทที่เกี่ยวข้อง และต้องได้รับอนุมัติจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) แล้ว ยังมีมาตรการดำเนินการเพื่อขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชย์ เนื่องจากนายสันติ จะกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ดังนั้นตราบใดที่นายสันติ ถือหุ้นหุ้นในบริษัทเกิน 10% นายสันติ ตกลงจะไม่ประกอบธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาฯแข่งกับบริษัท โดยจะทำบันทึกข้อตกลงกับบริษัท ภายหลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติการทำรายการ และจะให้เสิทธิและสิทธิในการปฏิเสธแก่บริษัท ในการซื้อสินทรัพย์โรงแรม หรือ โครงการพัฒนาอสังหาฯของนายสันติในอนาคต ด้านแหล่งข่าวจากรสา ยอมรับว่าดีลดังกล่าว ได้มีการเจรจามาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุที่ตัดสินใจเปิดทางให้กลุ่มนายสันติ ภิรมย์ภักดี เข้ามาถือหุ้นใหญ่บริษัท เนื่องจากธุรกิจของรสา เป็นกิจการขนาดเล็ก ซึ่งแนวโน้มการทำธุรกิจของบริษัทขนาดเล็กจะมีความเสี่ยงด้านต้นทุนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันการแข่งขันกับรายใหญ่ เป็นไปได้อย่างยากลำบาก อีกทั้งการเปิดตลาดเออีซี ยิ่งกดดันให้รายเล็กอยู่รอดยาก ดังนั้นจึงเปิดทางให้รายใหญ่เข้ามาควบรวมกิจการจะดีกว่า ทั้งนี้รสา เป็นกิจการขนาดเล็ก และมีการเปิดตัวโครงการประมาณปีละ 1-2 โครงการเท่านั้น    ราคาหุ้น"รสา"พุ่งชนซิลลิ่งเฉียด3บาท ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.ฟิลลิป มองว่า ภาพรวมธุรกิจพัฒนาอสังหาฯในไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น เห็นได้จากยอดขายที่ค่อยๆมีการฟื้นตัว อย่างไรก็ตามในส่วนของบริษัทขนาดเล็กอาจจะอยู่ลำบาก เพราะการแข่งขันค่อนข้างสูง จากบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการเปิดโครงการใหม่กว่า 20 โครงการ ในจำนวนนี้ก็มี 5โครงการที่ขายแทบไม่ได้ นอกจากนี้บริษัทขนาดเล็ก ยังมีปัญหาในการการขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน เพราะวงเงินเหลือให้กู้ค่อนข้างน้อย  ก่อนหน้านี้มีข่าวการร่วมทุนระหว่างบริษัท รสา กับกลุ่มทุนรายใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้สอบถามข้อมูลพร้อมให้บริษัทชี้แจงข้อมูล จนเมื่อวันที่ 20 ม.ค.2557 บริษัทรสาฯ ได้ชี้แจงว่า บริษัทยังไม่ได้รับการติดต่อจากผู้สนใจที่จะซื้อกิจการ และไม่ทราบบว่ามีการเสนอซื้อกิจการแต่อย่างใด เมื่อตรวจสอบราคาหุ้นของบริษัทรสาฯ พบว่า ราคาหุ้นค่อนข้างผันผวน และค่อยๆ ปรับขึ้นแรงในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา จากระดับ 1.62 บาทต่อหุ้นเมื่อช่วงต้นปี ไต่ระดับมาจนแตะ 2 บาทในวันที่ 21 มี.ค. และหลังจากประกาศข่าวการรวมกิจการกับกลุ่มสิงห์ วานนี้ (16 เม.ย.) ราคาหุ้นรสาฯ ปรับขึ้นแตะพาดานสูงสุด (ซิลลิ่ง) โดยปิดที่ระดับ 2.92 บาท เพิ่มขึ้น 29.20 % และปรับขึ้นสูงสุดในกระดานซื้อขายของวัน โดยมีมูลค่าการซื้อขาย

logoline