หลังประกาศความสำเร็จในการทดลองวัคซีนป้องกันโควิด-19 มูลค่าหุ้นของ BioNTech ผู้ผลิตยาสัญชาติเยอรมันที่เป็นพันธมิตรกับ Pfizer ในการพัฒนาวัคซีนหนึ่งในชนิดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดขณะนี้ ได้สร้างความมั่งคั่งให้กับซีอีโอและผู้ก่อตั้งอย่าง อูกูร์ ซาฮิน เป็นมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท
อูกูร์ ซาฮินซีอีโอของ BioNTech
และทำให้ซาฮินกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 451 ของโลก ด้วยทรัพย์สินมูลค่ากว่า 1.6 แสนล้านบาท
โทมัส และ อัสเดรสสตรังแมน
ส่วนพี่น้องนักลงทุนในยุคบุกเบิกของ BioNTech อย่าง โทมัส และ อัสเดรสสตรังแมน ต่างได้รับรายได้มูลค่ารวมกว่า 2.4 แสนล้านบาท ทำให้แต่ละคนมีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 3.6 แสนล้านบาท
ขณะที่ Moderna ผู้ผลิตยาจากสหรัฐ ที่ประกาศความสำเร็จจากการทดลองวัคซีนในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็มีมูลค่าหุ้นสูงขึ้นจากเดิมกว่า 8 เท่าในปีนี้ และสร้างมหาเศรษฐีใหม่อย่างน้อยสามคน
สเตฟาน แบนเซลซีอีโอของModerna
คนแรกคือซีอีโออย่าง สเตฟาน แบนเซล ได้รับรายได้ในปีนี้กว่า 1.4 แสนล้านบาท ทำให้เขามีทรัพย์สินรวมมูลค่า 1.6 แสนล้านบาท
โรเบิร์ต แลนเจอร์
คนต่อมาคือโรเบิร์ต แลนเจอร์ ศาสตราจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมชีวภาพ ของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์(MIT) ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีหลังมีกำไรจาก Moderna กว่า 4.5 หมื่นล้านบาท
ทิโมธี สปริงเกอร์
และสุดท้ายคือทิโมธี สปริงเกอร์ ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาของฮาร์วาร์ด ที่ร่วมลงทุนกับ Moderna เพื่อช่วยเปิดตัวบริษัท ในปี 2553 เป็นมูลค่า 150 ล้านบาท แต่ได้รับรายได้กลับคืนมาในปีนี้มากกว่า 6 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามสปริงเกอร์ระบุว่าเขาจะมอบเงินส่วนหนึ่งให้กับสถาบันไม่แสวงหาผลกำไรแห่งใหม่ที่ศึกษาการใช้โปรตีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในมนุษย์
แม้ว่าความแตกต่างที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ก่อตั้งบริษัทยาที่ทำรายได้หลายพันล้าน กับประชาชนหลายล้านคนทั่วโลกที่ประสบปัญหาว่างงานและเผชิญกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการทำกำไรมหาศาลของพวกเขาได้บั่นทอนความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและความเสียสละร่วมกันเพื่อรับมือความเจ็บปวดจากวิกฤตครั้งนี้
แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังรวมถึงบุคลากรจากบริษัทผู้ผลิตยาต่างก็เสียสละและทุ่มเทไม่น้อย ในการเร่งพัฒนาวัคซีนให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด และพวกเขาเหล่านี้ต่างเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่จะนำไปสู่ความหวังในการยับยั้งการแพร่ระบาดของวิกฤตโควิด-19