ชาวเยอรมันราว 38,000 คน รวมตัวกันในกรุงเบอร์ลินเมื่อวันเสาร์เพื่อประท้วงมาตรการควบคุมเชื้อไวรัสของภาครัฐ โดยผู้ชุมนุมอ้างว่าเรื่องไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นเรื่องโกหกที่รัฐบาลเอาไว้ใช้จำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และผู้ประท้วงยังใช้โอกาสนี้ขับไล่นายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เคิลด้วย
ต่อมาตำรวจที่วางกำลังอยู่กว่า 3,000 นาย ได้เข้าสลายการชุมนุมโดยอ้างว่าไม่มีทางเลือก เนื่องจากผู้ประท้วงซึ่งตำรวจเรียกว่า "หัวรุนแรง" ไม่ยอมรักษาระยะห่างทางสังคมและสวมหน้ากากอนามัย แต่ผู้ชุมนุมหลายพันคนยังคงฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าหน้าที่และปักหลักประท้วงต่อ พร้อมขว้างก้อนหินและขวดน้ำใส่ ส่งผลให้ตำรวจบาดเจ็บอย่างน้อย 7 นาย และมีผู้ชุมนุมถูกจับราว 300 คน
ขณะเดียวกันช่วงหนึ่งผู้ชุมนุมได้ฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่และพยายามบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา แต่ตำรวจสามารถสลายการชุมนุมได้โดยการใช้สเปรย์พริกไทย
อย่างไรก็ตามอีกการประท้วงหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในกรุงเบอร์ลินในช่วงเวลาเดียวกันและมีผู้ชุมนุมราว 30,000 คน สามารถจัดกิจกรรมได้ต่อไปเนื่องจากผู้ชุมนุมรักษาระยะห่างและสวมหน้ากากอนามัย นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นในอีกหลายเมืองในยุโรปด้วย
เยอรมนีถือเป็นหนึ่งในประเทศที่รับมือกับโรคโควิด-19 ได้ดีที่สุดในทวีปยุโรป แต่ยอดผู้ติดเชื้อได้กลับมาเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จนนายกฯ แมร์เคิลต้องขอร้องให้ประชาชน "การ์ดอย่าตก" โดยขอให้จริงจังกับการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคให้เหมือนที่ทำในตอนแรก