การลงนามสัญญาระหว่างบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ จีพีเอสซี และบริษัทไทยทากาซาโก จำกัด เพื่อก่อสร้างโรงงานแบตเตอรี่ Semi Solid (เซมิ โซลิด) ต้นแบบแห่งแรกของไทยในนิคมอุตสากรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ด้วยงบลงทุน 1,100 ล้านบาท จะทำให้จีพีเอสซีก้าวไปสู่การเป็นผู้นำผลิตแบตเตอรี่ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศและอาเซียน เพื่อรองรับความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือนิวเอสเคิร์ฟ ตามนโยบายของรัฐบาล
ชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่จีพีเอสซี ผู้นำด้านธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่มปตท. ระบุ โรงงานผลิตแบตเตอรี่ Semi Solid คาดว่าจะผลิตแบตเตอรี่ชิ้นแรกออกมาในเชิงพาณิชย์ได้ภายในปลายปี 2563 ด้วยกำลังการผลิตในเฟสแรก คือ 30 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) แต่หากผลตอบรับเชิงพาณิชย์มีความต้องการเพิ่มขึ้นจะขยายกำลังการผลิตเป็น 100 เมกะวัตต์ชั่วโมง ภายในปีหน้า ส่วนในระยะยาวมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตถึง 2 กิกะวัตต์ชั่วโมง ตามความต้องการของตลาด
ทั้งนี้ การผลิตแบตเตอรี่ช่วงแรก ยอมรับว่ายังมีต้นทุนสูง โดยกำลังการผลิตที่ 30 เมกะวัตต์ชั่วโมง จะมีต้นทุนอยู่ที่ 300 ดอลลาร์/เมกะวัตต์ชั่วโมง ซึ่งจุดคุ้มทุนจากผลศึกษาควรอยู่ที่ 100 ดอลลาร์/เมกะวัตต์ หากสามารถพัฒนาและขยายตลาดเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 100 เมกะวัตต์ชั่วโมงได้ ต้นทุนก็จะลดลง
สำหรับแบตเตอรี่ Semi Solid ที่จีพีเอสซีนำร่องผลิตนั้น ได้นำเทคโนโลยีของบริษัท 24M เทคโนโลยี จากสหรัฐฯมาใช้ ซึ่งมีจุดเด่นคือสามารถลดขั้นตอนการผลิตกว่าปกติ โดยมีการใช้ชิ้นส่วนผลิตลดลงถึง 40% และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เบื้องต้นของการนำแบตเตอรี่มาใช้ทดสอบเชิงพาณิชย์ คือ จะผลิตเพื่อป้อนกับกลุ่มปตท. และนำมาใช้ในอุตสาหกรรมรถสามล้อไฟฟ้า และรถบัสไฟฟ้า ก่อนพัฒนาเพื่อป้อนเข้าตลาดยานยนต์ไฟฟ้า หรือรถอีวี ในอนาคต และรองรับอุตสาหกรรมนิวเอสเคิร์ฟในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี รวมทั้งเมืองสมาร์ทชิตี้ในอีอีซี