เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานว่าเพิ่งมี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งไปรับประทานอาหารกับแกนนำพรรคพลังประชารัฐอย่าง 'สมศักดิ์ เทพสุทิน' และ 'สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ' ก่อนการอภิปรายของสภาผู้แทนราษฎรในประเด็นการถวายสัตย์ปฏิญาณ และการไม่แถลงที่มารายได้ของนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา ทันทีที่ประเด็นนี้ออกมาสู่สาธารณะสร้างความเกรี้ยวกราดให้กับแกนนำพรรคเพื่อไทยไม่น้อย โดยเฉพาะท่าทีที่แสดงออกมาจาก 'คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุพาพันธุ์' ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 23 ก.ย.
"โชคดีที่คนของพรรคเพื่อไทยมีอุดมการณ์ ไม่ทรยศประชาชนและเล่าให้ฟังหมด พรรคมีโอกาสได้รวบรวมคลิปเสียง รวบรวมหลักฐาน ขออนุญาตยังไม่เปิดเผยรายละเอียดตอนนี้ โดยจะใช้หลักฐานเหล่านี้ดำเนินการ เพราะคนที่มาเสนอเงินให้ ส.ส.นั้นมีความผิด หากมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีกจะมีส.ส.พร้อมจะช่วยดำเนินการ" ท่าทีอันแข็งกร้าวของคุณหญิงสุดารัตน์ เมื่อวันที่ 23 ก.ย.
ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพภายในของพรรคเพื่อไทยออกอาการระส่ำอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในซีกของกลุ่มส.ส.ของพรรคเพื่อไทย เพราะการเป็นฝ่ายค้านย่อมมีผลให้การทำกิจกรรมทางการเมืองในพื้นที่นั้นทำได้ไม่เต็มที่ เมื่อเทียบกับสมัยที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล
ดังจะเห็นได้จากกรณีของ 'ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม' ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ไปต้อนรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ระหว่างลงพื้นที่ตรวจราชการที่จ.สุรินทร์ ซึ่งกรณีของครูมานิตย์เป็นการแสดงออกมาอย่างเป็นทางการเท่านั้น เพราะการสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นไม่เป็นทางการต่อสาธารณะยังมีอีกนับไม่ถ้วน เพียงแต่รอเวลาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่มีใจออกห่างจากพรรคก็ตกอยู่ในสภาพ "กลับตัวไม่ได้ เดินต่อไปก็ไม่ถึง" กล่าวคือ ส.ส.ในภาคอีสานครั้นจะออกจากพรรคเพื่อไทยและไหลไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐด้วยการให้พรรคเพื่อไทยมีมติขับออก ก็ยังไม่มีความกล้ามากนัก เนื่องจากฐานเสียงในพื้นที่ยังติดกับความเป็นพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ยึดติดกับตัวบุคคลมากนัก หากส.ส.กลุ่มนี้ออกจากพรรคเมื่อไหร ในการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยก็จะมีตัวตายตัวแทนทันที ซึ่งแสดงให้เห็นมาจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา แม้จะเจอกับแรงกดดันทางการเมืองจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่ก็ยังสามารถมีส.ส.มากที่สุดในสภา
ขณะที่ พรรคพลังประชารัฐ ถึงจะเป็นรัฐบาลแต่ก็เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งในการประชุมสภาสมัยสามัญครั้งถัดไปที่จะเริ่มขึ้นในเดือนพ.ย. รัฐบาลเองก็เตรียมขับเคลื่อนการทำงานด้วยการออกกฎหมายเพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน หรือ เตรียมพร้อมกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้เสียงในสภาให้มากที่สุด เพื่อชดเชยกับคะแนนเสียงของพรรคเล็กที่หายไปไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้พรรคพลังประชารัฐจึงเดินหน้ากลยุทธ์ "แนวร่วมฝ่ายตรงข้าม" ผ่านการสนับสนุนโครงการพัฒนาในพื้นที่ที่มีส.ส.ของพรรคเพื่อไทยตามแผนแนวร่วมฝ่ายตรงข้าม หวังให้ออกเสียงสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ แม้ตัวจะไม่มาอยู่ด้วยกัน แต่ขอส่งใจมาให้พรรคพลังประชารัฐเท่านั้น
ดังนั้น บรรดางูเห่าของพรรคเพื่อไทยอาจจะชูคอได้ไม่เต็มที่ เพราะติดขัดในเรื่องพื้นที่ทางการเมือง แต่เมื่อพรรคพลังประชารัฐส่งสัญญาณซื้อใจกันขนาดนี้แล้ว ความเป็นเอกภาพของฝ่ายค้านที่เคยคิดว่าแข็งแกร่งก็อาจทลายลงมาก็เป็นไปได้