กระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศส สรุปสถานการณ์คลื่นความร้อน ที่สร้างสถิติอุณหภูมิสุงสุดในฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 24 มิ.ย. - 7 ก.ค. และ ระหว่างวันที่ 21 - 27 ก.ค. รวม 18 วัน พบว่า มีผู้เสียชีวิตรวม 1,435 คน เพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ 9.1% แบ่งเป็นผู้เสียชีวิต 567 คนในระลอกแรก และอีก 868 คนในระลอกสอง
ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ 974 คน จากจำนวนทั้งหมด เป็นผู้ที่มีอายุเกิน 75 ปี โดยกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า มาตรการป้องกันล่วงหน้าช่วยให้อัตราผู้เสียชีวิตในปีนี้ลดลง คิดเป็น 10% เมื่อเทียบกับจำนวนผู้เสียชีวิตราว 14,800 คน จากคลื่นความร้อนนาน 20 วันเมื่อปี 2546
ฝรั่งเศส วัดได้อุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 45.9 องศาเซลเซียสที่เมืองแกลาเกอ เลอ มงต์จือส์ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ขณะที่กรุงปารีสทำสถิติอุณหภูมิสูงสุดที่ 42.6 องศาเซลเซียสเมื่อเดือน ก.ค.
โดยในช่วงฤดูร้อนปีนี้ ฝรั่งเศสประกาศเตือนภัยคลื่นความร้อนในระดับสีแดง ซึ่งเป็นระดับอันตรายที่สุดในบางพื้นที่ สั่งงดกิจกรรมกลางแจ้งของโรงเรียนและหน่วยราชการ ส่วนสวนสาธารณะและสระว่ายน้ำขยายเวลาเปิดให้บริการนานกว่าปกติเพื่อช่วยบรรเทาความร้อนแก่ประชาชน
นอกจากฝรั่งเศสแล้ว หลายประเทศในยุโรปยังทำสถิติอุณหภูมิสูงสุดด้วย เช่น อังกฤษ เบลเยียม เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ แต่ประเทศเหล่านี้ยังไม่เผยตัวเลขผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนปีนี้อย่างเป็นทางการ
ผู้เชี่ยวชาญวิตก ว่า คลื่นความร้อน ที่มีสาเหตุจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาจกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับยุโรปในอนาคต ขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ทั่วทวีปไม่ได้มีมาตรการรับมือกับสภาพอากาศร้อนจัด
โดยจากรายงานในปี 2560 พบว่า บ้านเรือนไม่ถึง 5% ทั่วยุโรปมีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ และระบบขนส่งมวลชนอาจประสบปัญหาหยุดชะงักเมื่อเผชิญอากาศร้อนจัดได้