"หมอเปรม" กลับคำให้การ! แก้ผ้านักข่าวจริง หวังลดโทษ

เมื่อเวลา 08.55 น. วันที่ 11 มิ.ย.62 ที่ศาลจังหวัดพล อ.พล จ.ขอนแก่น นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ หรือ "หมอเปรม" อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จำเลยที่ 1 ได้เดินทางมาที่ศาลจังหวัดพล เพื่อเข้ารับฟังการอ่านคำพิพากษาของอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำที่ อ.1519/60 ในคดีที่สื่อมวลชน จ.ขอนแก่น 5 คน เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อ นพ.เปรมศักดิ์ จำเลยที่ 1 และ ร.ต.บัวทอง โลขันธ์ อดีตเลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จำเลยที่ 2 ในข้อกล่าวหากระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัน จากกรณีการจับผู้สื่อข่าวอาวุโสถอดกางเกง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2559 ภายในห้องปฏิบัติราชการนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่นโดยการเดินทางมารับฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในวันนี้ พบว่า นพ.เปรมศักดิ์ เดินทางมาเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ติดตาม โดย นพ.เปรมศักดิ์มีสีหน้าเรียบเฉย เมื่อมาถึงศาลก็ได้เข้าไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ศาลเพื่อรอเข้ารับฟังการอ่านคำพิพากษา ที่ห้องพิจารณาคดี บัลลัง 2 ในเวลา 09.30 น. ซึ่งไม่ปรากฏว่า ร.ต.บัวทอง จำเลยที่ 2 เดินทางมาที่ศาล
ต่อมา หลังจากเข้าห้องพิจารณาคดีเพื่อหังคำพิพากษา นพ.เปรมศักดิ์ จำเลยที่ 1 ได้ให้ฝ่ายกฏหมาย ยื่นคำร้องขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ต่อองคณะผู้พิพากษา ไปเป็นวันที่ 22 ก.ค.62 เวลา 09.00 น. โดยให้เหตุผลว่า ว่าที่ รต.บัวทอง จำเลยที่ 2 ไม่สามารถเดินทางมาฟังคำพิพากษาในวันนี้ได้ เนื่องจากป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบ ขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระยืน อ.พระยืน จ.ขอนแก่น โดยยื่นใบรับรองแพทย์แระกอบคำร้อง ซึ่งทนายฝ่ายโจทก์ไม่ได้คัดค้าน ศาลจึงพิจารณาให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออกไปตามคำร้องของจำเลย ซึ่งหลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการทางศาล นพ.เปรมศักดิ์ ก็ได้เดินทางกลับทันที โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ กับสื่อมวลชน

ด้านนายปกาญจน์ นพศรี ทนายความฝ่ายโจทก์ กล่าวว่า เนื่องจากจำเลยที่ 2 มีอาการป่วยและมีหลักฐานใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลพระยืน อ.พระยืน จ.ขอนแก่น มายื่นต่อศาล ด้วยหลักจริยธรรมแล้วจึงไม่ได้คัดค้านคำร้องของจำเลย อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ฝ่ายจะเดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อีกครั้งในวันที่ 22 ก.ค.62 เวลา 09.00 น. ซึ่งในวันดังกล่าวฝ่ายจำเลยจะขอเลื่อนอีกหรือไม่ และศาลจะอนุญาตตามคำร้องหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
สำหรับคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2559 โดยผู้สื่อข่าวจาก 5 สำนักข่าวในจังหวัดขอนแก่นได้ติดตามทำข่าวกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพทางโซเชียลมีเดีย เป็นภาพ นพ.เปรมศักดิ์ นั่งคู่กับหญิงสาวชั้น ม.5 คล้ายพิธีหมั้นหรือพิธีมงคลสมรสของภาคอีสาน ผู้สื่อข่าวทั้งหมดจึงได้ขอพบและสัมภาษณ์หมอเปรม ภายในที่ทำการสำนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้หมอเปรมอย่างมาก ก่อนที่จะให้ผู้สื่อข่าวทั้ง 5 สำนักเข้าไปภายในห้องทำงานของนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ เมื่อผู้สื่อข่าวทั้งหมดเข้าไปในห้อง กลับถูก นพ.เปรมสั่งเจ้าหน้าที่เทศบาลฯ เก็บโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายภาพของผู้สื่อข่าวทั้งหมด พร้อมล็อคตัว นายก่อสิทธิ์ 1 ใน 5 ผู้สื่อข่าว แก้ผ้าประจาน โดยต่อมาผู้สื่อข่าวได้เข้าแจ้งความเอาผิด นพ.เปรมศักดิ์ พร้อมพวกต่อมาวันที่ 21 มิ.ย.61 ศาลจังหวัดพล ได้พิพากษาตัดสินจำคุก นพ.เปรมศักดิ์ และ ว่าที่ ร.ต.บัวทอง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามความผิดฐานกระทำอนาจารและความผิดต่อเสรีภาพ เป็นเวลา 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา โดยให้เหตุผลว่า จำเลยที่ 1 และ 2 นั้นมีหน้าที่การงานที่ดี มั่นคง เป็นผู้นำท้องถิ่น และเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวกับผู้อื่นอีก อีกทั้งเพื่อให้เป็นตัวอย่างต่อสาธารณชน ก่อนที่ทางทนายของ นพ.เปรมศักดิ์ และ ว่าที่ ร.ต.บัวทอง จะยื่นหลักทรัพย์ประกันตัว และยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี ก่อนที่ศาลจังหวัดพล จ.ขอนแก่น จะนัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในวันนี้ และเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปเป็นวันที่ 22 ก.ค.62

ล่าสุด วันนี้ 22 ก.ค. ศาลอุทธรณ์นัดอ่านคำพิพากษา คดีนายก่อสิทธิ์ กองโฉม ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ประจำศูนย์ข่าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ หรือ หมอเปรม อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น และ ว่าที่ ร.ต.บัวทอง โลขันธ์ อดีต เลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ ในข้อหาอนาจารและความผิดต่อเสรีภาพ
นายปกาญจน์ นพศรี ทนายความฝ่ายโจทก์ กล่าวว่า การนัดฟังคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์วันนี้ จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 ขอกลับคำให้การใหม่ในชั้นอุทธรณ์ โดยผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา เพื่อขอให้ศาลเห็นใจ และลงโทษสถานเบา เนื่องจากศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาตัดสินจำเลยทั้ง 2 คน ให้จำคุกคนละ 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ทำให้ ศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ขอเลื่อนนัดคู่ความทั้ง 2 ฝ่ายมาฟังคำพิพากษาใหม่อีกครั้ง แต่ยังไม่กำหนดวัน ซึ่งเรื่องนี้ ทนายความฝ่ายโจทก์ มองว่า จำเลยสามารถทำได้ เพราะเป็นสิทธิ์ แต่ศาลจะเห็นใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล