เมื่อเวลา 14.05 น. วันที่ 14 ตุลาคม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงการประกาศเจตนารมณ์ของเครือข่ายประชาชนที่ต้องการการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม และมีผลในทางปฎิบัติ ว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นและถูกจับตาจากต่างประเทศ สิ่งที่เครือข่ายประชาชนเรียกร้องคือการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม และมีผลในทางปฏิบัติ เพื่อให้การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้รับความไว้วางใจจากทุกคนและเป็นทางออกจากปัญหาที่เป็นอยู่ เมื่อมีการประสานกันของพรรคการเมืองเราจึงยินดี เพราะเราในฐานะผู้เล่น คิดว่าควรมีองค์กรที่เป็นกลางและเป็นที่ยอมรับ เพื่อให้การเลือกตั้งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของประชาชน การร่วมแถลงการณ์ในวันนี้ จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราเป็นพรรรคการเมืองที่พร้อมจะให้ประเทศหลุดพ้นจากปัญหา วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น ในอนาคตตนมองว่าจะมีพรรคการเมืองเข้ามาร่วมมากขึ้น แต่ที่สำคัญคือพี่น้องประชาชนจะต้องออกมาใช้สิทธิให้เต็มที่เพื่อทำให้การเลือกตั้งนั้นไม่ถูกบิดเบือน
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าพรรคเพื่อชาติ(พ.พ.ช.) เป็นพรรคสาขาของพรรคเพื่อไทย เพื่อรองรับ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ นายภูมิธรรม กล่าวว่า แต่ละพรรคการเมืองมีบทบาทของตัวเอง จึงต้องทำหน้าที่และเเสดงจุดยืน เพื่อให้สมาชิกของพรรคได้เสนอความคิดเห็นของพรรคสู่ประชาชน แต่ต้องยอมรับความจริงว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ จึงเป็นเรื่องยากที่พรรคการเมืองใดจะได้รับชัยชนะอย่างมากเช่นในอดีต ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดพรรคการเมืองขึ้นจำนวนมาก เพราะแต่ละพรรคต้องการนำความเห็นของตนเองไปผลักดันเพื่อแก้ปัญหาของประเทศ
"เมื่อการเลือกตั้งเกิดขึ้นและได้ฟังนโยบายของแต่ละพรรค ถึงที่สุดแล้วจะเห็นได้ว่าสังคมไทยมีทางแยก 2 ทาง คือเอาเผด็จการหรือเอาประชาธิปไตย โดยจะต่อสู้กันในเรื่องอุดมการณ์" นายภูมิธรรมกล่าว
ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าพรรคเพื่อชาติเป็นนอมินีและเกี้ยเซี้ยกับพรรคเพื่อไทย จนอาจเข้าข่ายมีการครอบงำพรรคการเมืองนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ในทางกฎหมายนั้นทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่เราไม่ปฏิเสธว่าสมาชิกพรรคเพื่อไทยเเต่ละคนสามารถเลือกจุดยืนทางการเมืองได้ เพราะนักการเมืองมีทางเลือกของชีวิต จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเลือกไปพรรคใดก็ตาม แต่ประชาชนจะเฝ้าดู หากมีจุดยืนที่เป็นประชาธิปไตยประชาชนจะเข้าใจเอง
เมื่อถามถึงความกังวลว่าพรรคเพื่อไทยอาจถูกยุบพรรค นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าที่เราเคยถูกกระทำมาแล้ว วันนี้เราไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่มีอะไรที่จะเป็นปัญหาให้เราถูกยุบพรรคได้ แม้ว่ามีหลายเรื่องที่เราไม่เห็นด้วย ซึ่งเราได้ประกาศไปแล้วว่าหากเราได้มาเป็นรัฐบาล จะใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญมาแก้ไขในเรื่องที่เราไม่เห็นด้วย วันนี้เรายอมรับในกติกาขั้นต้น แล้วเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง เพราะเราเชื่อว่าประชาชนคือหัวใจสำคัญของการตัดสินใจทั้งหมด
"พรรคเพื่อไทยถูกกระทำกลั่นแกล้งมาหลายครั้งแล้ว อย่างน้อยก็ 2 ครั้ง แต่เราฝ่าวิกฤตได้ ไม่ใช่ว่าเรากลัวหรือไม่กลัว แต่เราเชื่อว่าประชาชนจับตามองอยู่ ถ้ามีกระบวนการยุบพรรคเพื่อไทยที่เกิดขึ้นอย่างไม่ยุติธรรม ประชาชนจะเป็นคนตัดสินเอง เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังออกแบบให้ประชาชนสามารถโหวตคะแนนที่เป็นโนโหวตได้ ซึ่งถ้าคะแนนนั้นมีมาก ก็จะทำให้ผลการเลือกตั้งมีปัญหา แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการร่างรัฐธรรมนูญจะต้องรับผิดชอบ" นายภูมิธรรม กล่าว
เมื่อถามถึง การวิเคราะห์ของนายเรืองวิทย์ เกษสุวรรณ อดีตผู้สมัครคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ระบุว่าระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมไม่ได้เก็บคะแนนทุกเม็ดอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ และระบบนี้จะเกิดผลดีต่อคนที่แพ้เลือกตั้งก็ต่อเมื่อเป็นการแพ้แบบสูสี จึงเป็นเรื่องยากสำหรับพรรคการเมืองขนาดเล็กที่จะได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจำนวนมาก นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนยังไม่ได้อ่านข้อคิดเห็นของนายเรืองวิทย์ แต่คิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้การเลือกตั้งครั้งที่จะเกิดขึ้นมีปัญหาเยอะ เพราะมีบัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว ดังนั้น ถ้าพรรคใดไม่มีศักยภาพเพียงพอก็จะไม่สามารถส่งผู้สมัครได้ทั้งประเทศ และบัตรเลือกตั้งยังไม่ใช่บัตรที่เป็นเบอร์เดียวกันทั้งประเทศ พรรคการเมืองหนึ่งมีหลายหมายเลขในแต่ละเขตเลือกตั้ง ทำให้เกิดความสับสนได้ นอกจากนี้ วิธีเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมนั้น บางคนบอกว่าเป็นการให้รางวัลกับผู้แพ้ เพราะเอาทุกคะแนนมาคิดหมด ดังนั้นพรรคเล็กที่มีผู้สนับสนุนและมีการบริหารจัดการ ก็สามารถดำเนินการให้ได้ผู้แทนมาจำนวนหนึ่ง แต่จะไม่มีพรรคที่ได้ที่นั่งแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนที่ผ่านมา จึงเป็นไปได้ที่พรรคการเมืองจะแตกกระสานซ่านเซ็น พรรคเล็กอาจเสียเปรียบ ส่วนพรรคใหญ่ก็เสียเปรียบแต่ไม่เสียหาย เพราะยังมีฐานนิยมจากคนในประเทศอยู่ ทำให้สามารถประคองตัวเองได้ เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน ส่วนพรรคขนาดกลางมีโอกาสได้ตัวแทนเพิ่มขึ้น
"จะเห็นได้ว่ามีพรรคการเมืองส่งผู้สมัคร แม้ว่าผู้สมัครนั้นจะเคยสอบตกก็ตาม เพราะหวังว่าแม้จะแพ้ในเขตเลือกตั้ง แต่ก็จะนำคะแนนที่ได้มารวมกัน ถ้าเกิน 70,000-80,000 คะแนน ก็จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน ดังนั้นระบบนี้จึงมีปัญหาเพราะไม่สามารถสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างแท้จริงได้" นายภูมิธรรม กล่าว