"โจ นิกสิทธิ์ วงศ์สวัสดิ์"หนุ่มวัย 41ปี ผู้มีความฝันมากมาย และออกไปแตะฝันนั้นจนวันนี้เขาเป็นผู้ก่อตั้ง ไทยแลนด์ โมโตกราเฟอร์ (Thailand Motographer) ในเฟสบุ๊ค ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกแตะระดับ 14,000คนแล้ว และเป็นผู้ผลิตรายการ ขับ-ถ่าย (Kup-Thai) เผยแพร่บน Youtube
"อิสระของการเดินทางถ่ายภาพ ไม่ถูกจำกัดอีกต่อไป มันไม่ต่างกันไม่ว่าจะเดินทางโดยรถยนต์จักรยาน หรือมอเตอร์ไซด์ เมื่อเห็นภาพประทับใจก็แค่เหวี่ยงกล้องขึ้นมาถ่าย"
โจบอกว่า อยากบอกเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับประเทศไทย ไปในทุกที่ที่อยากไป แต่พอถึงวันหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเดินทางมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศ และส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของงาน
"ยังไม่เคยขี่มอเตอร์ไซด์ ข้ามประเทศไกลๆนะ ยกเว้น 2 แห่งคือ ตอนไปหลวงพระบาง ประเทศ สปป.ลาว และมาเลเซีย ส่วนที่อื่นจะนั่งเครื่องบินไปแล้วไปขี่ที่นู่น"
ก่อนจะมายืนจุดนี้ 'โจ'นิกสิทธิ์ เริ่มต้นขี่มอเตอร์ไซด์ท่องเที่ยวในราวปี 2527
ขับไป ถ่ายรูปไป ซึ่งกว่าจะมาเป็นเป็นขับ-ถ่าย ในทุกวันนี้ ไม่ใช่จู่ๆ ก็ทำได้ แต่ต้องอาศัยประสบการณ์ความชำนาญและการฝึกฝน จนกลายเป็นความคล่องตัว อย่างบางภาพเขาลองกดถ่ายดูก่อน เพียงบางครั้งระหว่างการขับมอเตอร์ไซด์เหวี่ยงกล้องขึ้นมาก็จับภาพได้ในห้วงอารมณ์ของภาพที่ต้องการ
โจบอกว่า จะกดภาพดูก่อน ถ้ามันยังไม่ได้ก็ปรับโดยมากปรับด้วยการลดหรือเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ซึ่งใช้นิ้วปรับเลื่อนได้เลยโดยไม่ต้องดู
"ภาพที่กดมาได้ อาจจะเบลอแต่มันบอกเล่าเรื่องราวและสื่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นได้เป็นอย่างดีเหมือนอย่างตอนขี่มอเตอร์ไซด์เที่ยวลาว เห็นนักเรียนหญิงนุ่งซิ่นขี่จักรยานผ่านมาเราก็เหวี่ยงกล้องขึ้นถ่ายภาพเลยได้อารมณ์ดีมาก ดีกว่าจอดรถ แล้วลงไปขอถ่ายรูปซึ่งเราก็จะไม่ได้อารมณ์ของห้วงเวลานั้นอีก"
แต่สิ่งหนึ่งที่เขาจะไม่ทำ นั่นคือการนำเสนอภาพขอทาน ซากศพ หรือคนตายเพราะถือว่าเราได้ภาพนั้นมาด้วยการเอาเปรียบซึ่งคนในภาพก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้วแล้วเราไปขโมยแววตาที่เจ็บปวดนั้นมา ภาพนั้นอาจจะสวยแต่สำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่ภาพที่จะนำมาเสนอ หากไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องเช่นเป็นนักข่าวที่ต้องเขียนเรื่องนั้นๆ
ในเรื่องการถ่ายภาพนั้น 'โจ' นิกสิทธิ์จับกล้องcanon มาตั้งแต่เรียน มัธยม ต่ออาชีวะ จนกระทั่งจบสาขาเอ็กซิบิชั่น ดีไซน์ จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบมาก็ลุยทำงาน 12 ปี ทำงานที่เดิม งานแบบเดิม ความเบื่อเลยเข้ามาเยือน หมดแรงบันดาลใจจนต้องออกค้นหาสิ่งใหม่ๆ ให้ตัวเองทั้งขี่มอเตอร์ไซด์เที่ยว และถ่ายรูปเขียนหนังสือ มีอะไรอีกหลายอย่างมาต่อยอดให้ และกลายมาเป็น Motographer ซึ่งมาจาก Motorcycle+Photographer บ่งบอกนิยามตัวเขา คือ ชอบถ่ายภาพ ชอบเดินทางชอบมอเตอร์ไซด์ และเปิดเป็นแฟนเพจที่ใครก็เข้ามาแชร์ประสบการณ์ โดยไม่มีการจำกัดว่า ต้องมอเตอร์ไซด์ยี่ห้ออะไรจะบิ๊กไบค์ หรือไม่ใช่ ก็ได้หมดแม้กระทั่งการไปเที่ยวกันก็ไม่ได้จำกัดรุ่นหรือยี่ห้อ
กล้องที่ใช้ปัจจุบัน โจบอกว่ายังเป็นกล้องตกรุ่น คือใช้แคนนอน 5D Mark II หรือบางทีก็ใช้ 60D แต่ถ้าต้องถ่ายงานดีๆใช้กล้องเจ๋งๆ ก็จะใช้วิธีเช่ามาใช้งานจะคุ้มกว่าด้วยความที่ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและการเดินทาง ทำให้กล้องพังมาหลายตัวแล้ว
"สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คืออยากให้คนที่ติดตามเรารู้ว่า ใช้กล้องอะไรก็ได้ ที่เหมาะกับตัวเองรถมอเตอร์ไซด์ก็เช่นกัน ใช้อะไรก็ได้ที่เราชอบ เพราะมีคนติดตามงานผมมีตั้งแต่เด็กๆที่หาเงินเองไม่ได้ ก็ไม่อยากให้ทำอะไรเกินตัว"
โจ เล่าว่าทุกวันนี้ได้ทำในเรื่องที่ถนัด คือได้ขับขี่มอเตอร์ไซด์ ได้เดินทางท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพและทั้งหมดนี้พัฒนามาเป็นงานของเขา ทั้งรายการขับ-ถ่าย ซึ่งมีสมาชิกเริ่มก่อตั้งร่วมกัน 6 คน มีคนสนใจจะมาร่วมขบวนด้วยอีกมากมายแต่ตั้งใจไม่เปิดรับเพิ่ม จึงแตกหน่อออกมาเป็น Thailand Motographer ที่เปิดรับสมาชิกที่สนใจมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางด้วยมอเตอร์ไซด์และภาพถ่าย ภายใต้คอนเซ็ป Discovery& Share the road
สำหรับการเดินทางแต่ละครั้งเขาชอบที่จะไปคนเดียวมากกว่า รวมทั้งไม่ชอบทำการบ้านจนข้อมูลล้นเนื่องจากเราจะได้ความตื่นเต้น อยากไปสำรวจ ไปค้นหาด้วยตัวเองมากกว่า แต่จะดูคร่าวๆในเรื่องความจำเป็นของชีวิตเป็นหลัก แต่ถ้าเป็นไปได้ควรมีบัดดี้เพื่อความปลอดภัย
"การเดินทางบนหลังมอเตอร์ไซด์ เราต้องไม่ประมาท ไม่ห้าวไม่เกรียน เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ"
และจากการเรียกร้องของสมาชิก ในMotographer เริ่มมีการรวมกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวจากการเรียกร้องของมวลหมู่สมาชิกบ้างแล้ว โดยจัดไป 2 ครั้งมีรถเข้าร่วมครั้งละประมาณ 20 คัน
Lifestyle ของโจ นิกสิทธิ์ จึงเป็นเรื่องของ 3 สิ่ง คือ เดินทาง ถ่ายภาพ และ ขี่มอเตอร์ไซด์ไป
Lifester ก็เช่นกันโจมองว่า นั่นคือการใช้ชีวิตกับทุกวันอย่างที่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งไม่สามารถจะโกหกหรือหลอกลวงในความเป็นตัวเองได้เป็นเรื่องของบุคลิก เป็นความชัดเจนในตัวเอง ในสิ่งที่เราทำทุกวันและอยู่กับสิ่งนั้นได้นานๆ
"มันไม่ใช่แค่ชอบ แต่มันเป็นรักคือรักในสิ่งที่ทำ เพราะถ้ารัก เราจะทำได้นาน"
โจยังมีไอดอลหลายคน ซึ่งก็คือบรรดานักสำรวจเส้นทาง คนบุกเบิกสร้างทางเข้าไปยังถิ่นต่างๆ เพราะถือว่าถ้าไม่มีคนเหล่านี้เราก็อาจจะเข้าไปยังดินแดนนั้นๆ ไม่ได้ แต่หนึ่งเดียวเหนืออื่นใด คือในหลวง เพราะทุกสถานที่ในเมืองไทยที่ว่าไปยากลำบากแค่ไหน พระองค์ท่านเสด็จไปมาหมดแล้ว และทุกครั้งที่เห็นในหลวง มักจะเห็นกล้องคล้องพระศอ(คอ)อยู่ตลอดเพื่อบันทึกเรื่องราวผ่านภาพถ่าย ณ เวลานั้นๆ
'โจ' นิกสิทธิ์ บอกว่า แม้เขาจะท่องเที่ยวถ่ายภาพมาเยอะแยะมากมาย แต่ไม่เคยส่งภาพเข้าประกวด เพราะไม่เชื่อในคำตัดสินมาแต่ไหนแต่ไร เพราะในการประกวดจะมีข้อกำหนดการถ่ายภาพ มีการตีกรอบ ในขณะที่ตัวเองมองว่าการถ่ายภาพควรเป็นอิสระ
สำหรับภาพในแนวของโจไม่ได้เน้นสวยงามฟรุ้งฟริ้งแต่จะเป็นแนวเท่ห์ ดุๆ ดิบๆ หน่อยแต่ก็จะมีความสดใส มีมติ และองค์ประกอบไม่ต้องมาก
เขายังฝากถึงเด็กยุคใหม่ด้วยว่าเป็นผู้โชคดี ที่เกิดมาในยุคที่มีกล้องดิจิตอล ถ่าย-ลบ หรือตัดต่อ ทำได้ง่ายจึงอยากให้ถ่ายภาพเยอะๆ ถ้าชอบจริงเพราะอย่างน้อยจะต้องมีสักภาพที่ได้มาด้วยความรู้สึกจริงๆ จะทำให้เกิดฝันและกลายเป็นเรื่องบันดาลใจ ที่สามารถต่อยอดชีวิต เหมือนเช่นที่เขาผ่านมาแล้วและสร้างงานจากโอกาสนั้นได้
"เด็กยุคใหม่ มีโอกาส มีจังหวะที่ดีซึ่งผมเชื่อในพลังของคนหนุ่ม ที่จะพัฒนาไปได้อีกเยอะ"
แต่ถึง 'โจ' นิกสิทธิ์จะบอกว่าไม่ส่งภาพประกวด แต่เขาก็ได้รับรางวัลจากการประกวดเรื่องราวการเดินทางผ่านภาพถ่ายมาจนได้จากรายการ Wrangler True Wanderer ที่ตั้งโจทย์ เป็นเรื่องราวการเดินทางไปในที่ที่ไม่เคยไปมีความสุขกับการไปพบเจอสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคยรักอิสระชอบการค้นหามากกว่าการเดินตาม รวมถึงการได้ขี่รถร่วมทางไปกับพ่อ การดื่มด่ำกับช่วงเวลาการเดินทางทำให้ได้มอเตอร์ไซด์ที่เคยไฝ่ฝันตั้งแต่เด็กนั้นคือTRIUMPH รุ่น BonnevilleT100 Black รุ่นพิเศษที่ทาง Wrangler ได้สั่งทำเบาะหุ้มด้วยผ้ายีนส์แรงเลอร์คันเดียวในโลก
ถึงแม้วันนี้เหมือน โจ นิกสิทธิ์ จะพบทางที่ใช่ และที่รักแต่เขาก็ยังมีฝัน ก็คือการได้ขี่รถไปกับลูกเที่ยวไปเรื่อยๆ มีการถ่ายภาพ เขียนงาน วาดรูปสร้างประติมากรรมเกี่ยวกับไม้ ซึ่งเกิดจากความที่ตกผลึกด้านศิลปะมากขึ้น อย่างไรก็ตามเขายังไม่ทิ้งการเป็นนักออกแบบ Exhibition และทำงานถ่ายภาพ เขียนหนังสือเป็น columnist ให้หนังสือหลายเล่มและถ้าเป็นไปได้ปลายปีนี้ เราอาจจะได้เห็นหนังสือ ที่เขากำลังปลุกปั้นอยู่ ออกมาเป็นรูปเล่มหนังสือที่จะบอกตัวตนของเขา ผู้ชายที่ชอบความเร็วของรถสองล้อและการถ่ายภาพ ....
สุดท้ายนี้ 'โจ' ได้ฝากผลงาน บันทึกเรื่องราวการเดินทางของเขา กับขับ-ถ่าย "Kup-Thai"
---------------------------------------------------------------------------------
ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ผ่านภาพถ่ายได้ที่นี่ www.canonlife.com