
สวัสดีครับ วันนี้ผมนำเรื่องราวของฝนหลวงในโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาฝากกัน หลายๆคนคงยังไม่ทราบว่าขั้นตอนและวิธีการทำฝนหลวงนั้น เป็นอย่างไร วันนี้ผมจะพาทุกท่านไป สำนักฝนหลวงและการบินเกษตรซึ่งตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และวันนี้นี้ผมมีผู้เชียวชาญด้านฝนหลวงคืออาจารย์ ประเสริฐ อังสุรัตน์ มาให้ความรู้กับพวกเราในเรื่องประวัติความเป็นมาและการทำฝนหลวงกัน อันดับแรกเรามาทำความรู้จักกับประวัติฝนหลวงกันก่อนดีกว่าว่ามีที่มาอย่างไร
ฝนหลวง เป็นโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในขณะที่เสด็จเยี่ยมประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 ท่านทรงเห็นความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน อันเนื่องมาจากความผันแปรไม่แน่นอนของธรรมชาติ ในปี พ.ศ. 2512 จึงได้มีการทดลองทำฝนเทียมครั้งแรกขึ้น และจากความสำเร็จในขั้นบุกเบิกการทลองทำฝน ภายใต้การนำของหม่อมราชวงศ์ เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้รับสนองพระราชดำริระหว่างปี พ.ศ. 2512-2514 รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงน้อมรับวิธีการทำฝนหลวงควบคู่กับการพัฒนากรรมวิธีการทำฝนหลวงให้มีประสิทธิภาพขึ้นเป็นลำดับจนมาถึงปัจจุบัน
(ม.ร.ว เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้รับสนองพระราชดำริโครงการฝนหลวง)
(ตำราฝนหลวงพระราชทาน ที่ทรงพระราชทานให้แก่หน่วยงานปฏิบัติการฝนหลวงพิเศษนำไปใช้ปราบภัยแล้งได้อย่างราบคาบ และใช้เป็นแนวทางการทำฝนหลวงปัจจุบัน)
หลังจากที่เราได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของฝนหลวงกันแล้ว มาฟังขั้นตอนการทำฝนหลวงกันดีกว่าว่าเค้าทำกันยังไงกัน ท่านอาจารย์ ประเสริฐ อังสุรัตน์ เล่าให้ฟังว่า
การทำฝนหลวงนั้นมี ถึง6 ขั้นตอน กว่าจะมาเป็นน้ำฝนที่ให้เราได้ใช้กันต้องผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง ลองมาดูกันเลยดีกว่าครับ
ขั้นตอนที่ 1 ก่อกวน (Triggering)ใช้เครื่องบินเมฆอุ่นโปรยสารเกลือแป้งบริเวณต้นลมของพื้นที่เป้าหมายที่ระดับวามสูง 7000-8000ฟุต โดยที่สารเกลือแป้งแต่ละอนุภาคจะทำหน้าที่เป็นแกนกลั่นตัว ในการดูดซับความชื้นในอากาศ เกิดการควบแน่นกลายเป็นเม็ดน้ำและรวมตัวกันเป็นเมฆ
ขั้นตอนที่2 เลี้ยงให้อ้วน (Fattening)การที่เลี้ยงเมฆให้อ้วนคือ ใช้เครื่องบินโปรยสารแคลเซียมคลอไรด์เข้าไปในเมฆที่ระดับ 8000ฟุต ความร้อนที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาทางเคมีของสารแคลเซียมคลอไรด์ เมื่อละลายน้ำหรือดูดซับความชื้นหรือเม็ดน้ำภายในเมฆ จะเร่งหรือเสริมแรงยกตัวของมวลอากาศภายในเมฆทำให้เมฆเจริญเติบโตและก่อยอดสูงขึ้น
ขั้นตอนที่3 โจมตี(Attaking) คือการโจมตีเมฆด้วยเทคนิค Sandwich โดยใช้เครื่องบินเมฆอุ่น2เครื่อง เครื่องหนึ่งโปรยสารเกลือโซเดียมคลอไรด์ ทับยอดเมฆหรือไหล่เมฆที่ระดับ 9,000-10,000 ฟุต ทางด้านเหนือลมของก้อนเมฆ อีกเครื่องหนึ่งโปรยสารยูเรีย ที่ระดับชิดฐานเมฆทางด้านใต้ลมและแนวโปรยทั้งสองทำมุมเยื้องกัน 45 องศา
ขั้นตอนที่ 4 เสริมการโจมตี (Enhancing) เสริมการโจมตีโดยใช้เครื่องบินเมฆอุ่นโปรยเกล็ดน้ำแข็งแห้งที่บริเวณต่ำกว่าฐานเมฆประมาน 1000ฟุต เพื่อปรับลดอุณหภูมิของอากาศใต้ฐานเมฆ และทำให้อากาศมีความชื้นสัมพัทธ์สูงขึ้นซึ้งจะช่วยลดการระเหยของน้ำออกจากเม็ดฝนลง
(ถังเก็บน้ำแข็งแห้ง)
ขั้นตอนที่5 โจมตีเมฆเย็นด้วยซิลเวอร์ไอโอไดด์ โจมตีเมฆเย็นด้วยสารซิลเวอร์ไอโอไดด์ โดยใช้เครื่องบินเมฆเย็น 1 เครื่อง ยิงพลุสารซิลเวอร์ไอโอไดด์เข้าสู่ยอดเมฆ ที่ระดับประมาน 21500 ฟุต
ขั้นตอนที่6 โจมตีแบบ ซูเปอร์แซนวิช ใช้เครื่องบินอย่างน้อย 3 เครื่องโจมตีในส่วนที่เป็นเมฆเย็น ด้วยการยิงพลุสารซิลเวอร์ไอโอไดด์จากเครื่องบินเมฆเย็นเข้าสู่ยอดเมฆ ในขณะเดียวกันก็โจมตีเมฆอุ่นเบื้องล่างด้วยการโจมตีแบบแซนด์วิช โดยใช้เครื่องบินเมฆอุ่น 2 เครื่องโปรยสารเกลือแป้งที่ไหล่เมฆ บางครั้งจะใช้ขั้นตอนที่ 4 ปฏิบัติการเสริมด้วย 1 เครื่อง และโปรยสารยูเรียที่ฐานเมฆอีก1 เครื่องปฏิบัติการพร้อมกันหรือเวลาใกล้เคียงกันทั้ง 3 เครื่อง กว่าจะมาเป็นฝนหลวงนี้ยากลำบากกันจริงๆนะครับ ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆมากมาย กว่าจะเป็นน้ำฝนให้เราได้ใช้ อุปโภค บริโภค หลักจากที่เราทราบถึงขั้นตอนการทำฝนหลวงมาแล้วว่ามีถึง 6 ขั้นตอนด้วยกัน เรามาดูประโยชน์ของฝนหลวงกันว่ามีประโยชน์ในด้านไหนกันบ้างครับ
(ท่านอาจารย์ ประเสริฐ อังสุรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านฝนหลวง)
ประโยชน์ของฝนหลวง ท่านอาจารย์เล่าให้ฟังว่า ฝนหลวงช่วยลดความแห้งแล้งโดยตรง จากการทำไรนา ของชาวเกษตรกร ช่วยกักเก็บน้ำในเขื่อนต่างๆ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า รวมทั้ง ปล่อยน้ำไปช่วยการเพาะปลูกแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียและผลักดันน้ำเค็ม ส่วนด้านป้าไม้ฝนหลวงนั้นช่วยให้ป่าไม้ชุ่มชื่นและลดการเกิดควันจากการเผาป่าไม้ ช่วยลดความรุนแรงจากการเกิดไฟป่า เห็นมั้ยครับ ประโยชน์ของฝนหลวงนั้นช่วยบรรเทาทุกข์ของประชาชนชาวไทยในทุกๆด้าน ได้อย่างมากมายเลย
เสาทำฝนหลวง ซึ่งเสานี้ใช้ติดตั้งบนภูเขาเพื่อยิงสารเคมีขึ้นไปข้างบนท้องฟ้า แล้วทำให้เกิดเป็นฝน
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณอาจารย์ ประเสริฐ อังสุรัตน์ นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษด้านฝนหลวงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง ที่มาเล่าเรื่องฝนหลวง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นความรู้อย่างมากให้แก่พวกเราครับ