svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ และ ความงาม

'นิ่วในถุงน้ำดี' โรคใกล้ตัวผู้หญิงวัย 40+

28 พฤศจิกายน 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

รู้ทัน ‘โรคนิ่วในถุงน้ำดี’ อาการปวดท้อง-จุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ที่ไม่ควรละเลย เผยสถิติผู้หญิงวัย 40+ คนอ้วนเสี่ยงสูง พร้อมแนะนำวิธีการสังเกตอาการและแนวทางป้องกันโรค

เป็นเรื่องฮือฮาในหมู่คนรักสุขภาพอีกครั้ง จากกรณีศึกษาผู้ป่วยน่าสนใจของโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ ที่พบโรคนิ่วในถุงน้ำดีกว่า 40 ก้อน!! โดยผู้ป่วยเป็นหญิงอายุ 35 ปีเศษ ให้ประวัติว่ามีอาการ จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ เป็นมากเมื่อรับประทานอาหาร รักษาตนเองโดยการซื้อหายารักษาโรคกะเพาะอาหาร ยาขับลม พอบรรเทาได้บ้าง นานเข้าอาการเป็นมากขึ้น จนมีอาการคลื่นไส้ จะอาเจียน เวลารับประทานอาหาร อาการดังกล่าวนี้เป็นมานานมากกว่า 1 ปี

ต่อมามีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงเฉียบพลัน ได้เข้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ตรวจพบว่ามีนิ่วอยู่ในถุงน้ำดีเป็นจำนวนมาก และมีบางส่วนอุดตันท่อน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ แพทย์ได้ส่องกล้องคล้องเอานิ่วในถุงน้ำดีออก อาการปวดทุเลาลง ผู้ป่วยได้มารักษาต่อที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ ส่งพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรม วางแผนให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกด้วยการส่องกล้อง โดยการเจาะรูเล็กๆ ผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกมาได้ เมื่อผ่าถุงน้ำดีพบว่ามีก้อนนิ่วอยู่เป็นจำนวนมาก หลังผ่าตัดผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว กลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ใช้สิทธ์บัตรทอง แม้อายุน้อย เป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีและถุงน้ำดีอักเสบได้ หากมีอาการผิดปกติทางเดินอาหารเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์

โรคนิ่วในถุงน้ำดี อันตรายมากแค่ไหน?

โรคนิ่วในถุงน้ำดี เป็นโรคในระบบทางเดินอาหารที่สามารถเกิดขึ้นได้และมีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตหากไม่รีบรักษา ส่วนใหญ่มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยพบได้ตั้งแต่อายุ 30–50 ปี ความน่าสนใจของโรคนี้คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารจึงหายามารับประทานเอง จนกระทั่งอาการรุนแรงจึงมารับการรักษา เพราะฉะนั้น การรู้ทันโรคนิ่วในถุงน้ำดีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย

หน้าที่ของ ‘ถุงน้ำดี’

ถุงน้ำดี (Gallbladder) เป็นอวัยวะบริเวณช่องท้องทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำดี ทำให้น้ำดีเข้มข้นเพื่อพร้อมสำหรับย่อยไขมัน 

'นิ่วในถุงน้ำดี' โรคใกล้ตัวผู้หญิงวัย 40+

รู้จัก ‘โรคนิ่วในถุงน้ำดี’

นิ่วในถุงน้ำดี (Gall Stone) เป็นโรคในระบบทางเดินน้ำดีที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการตกตะกอนของหินปูน หรือคอเลสเตอรอลในน้ำดี ทำให้เกิดนิ่ว โดยลักษณะนิ่วมี 3 ประเภท ได้แก่

  1. นิ่วจากคอเลสเตอรอล (Cholesterol Stones) อาจเป็นสีเหลือง ขาว เขียวเกิดจากการตกตะกอนไขมัน เนื่องจากคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นในถุงน้ำดี 
  2. นิ่วจากเม็ดสี (Pigment Stones) อาจเป็นสีคล้ำดำ เกิดจากความผิดปกติของเลือด โลหิตจาง ตับแข็ง 
  3. นิ่วโคลน (Mixed Gallstones) เป็นคล้ายโคลน เหนียว หนืด เกิดจากการติดเชื้อใกล้ตับ ท่อน้ำดี ตับอ่อน

นิ่วในถุงน้ำดี เกิดจากอะไร ?

เกิดจากการตกผลึกของหินปูน (แคลเซียม) คอเลสเตอรอล และบิลิรูบิน (สารเคมีชนิดหนึ่งที่ให้สีเหลืองออกน้ำตาล เกิดจากการแตกตัวหรือการตายของเซลล์เม็ดเลือดแดงในหลอดเลือด) ที่มีอยู่ในน้ำดี ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการตกผลึกของสารเหล่านี้ เชื่อว่าเกิดจากการติดเชื้อของทางเดินน้ำดี และความไม่สมดุลของส่วนประกอบคอเลสเตอรอลและบิลิรูบินในน้ำดี  การตกผลึกของสารเหล่านี้อาจทำให้เกิดเป็นก้อนนิ่วเพียงก้อนเดียว หรือก้อนเล็กๆ หลายๆ ก้อน

'นิ่วในถุงน้ำดี' โรคใกล้ตัวผู้หญิงวัย 40+

สัญญาณเตือน ‘โรคนิ่วในถุงน้ำดี’

อาการบอกโรคนิ่วในถุงน้ำดีอาจไม่แสดงอาการใดๆ หรือมีบางอาการที่น่าสังเกต ดังต่อไปนี้ 

  • ท้องอืด
  • แน่นท้อง อาหารไม่ย่อยหลังทานอาหารไขมันสูง เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
  • ปวดใต้ลิ้นปี่ / ชายโครงด้านขวา 
  • ปวดร้าวที่ไหล่ / หลังขวา 
  • คลื่นไส้อาเจียน (ถุงน้ำดีติดเชื้อ) 
  • มีไข้หนาวสั่น 
  • ดีซ่าน / ตัว – ตาเหลือง  (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
  • ปัสสาวะสีเข้ม  (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
  • อุจจาระสีขาว (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)

ทั้งนี้ ก้อนนิ่วที่ตกตะกอนอาจมีขนาดเล็กเท่าเม็ดทราย หรือใหญ่เท่าลูกกอล์ฟ จำนวนมีได้ตั้งแต่หนึ่งก้อนไปจนถึงหลายร้อยก้อนได้ หากมีขนาดใหญ่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้

กลุ่มเสี่ยงเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

  • เพศหญิง 40 ปีขึ้นไป 
  • ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
  • คนที่มีภาวะอ้วน น้ำหนักตัวมาก คนอ้วนจะเกิดนิ่วที่มีคอเลสเตอรอล เนื่องจากการบีบตัวของถุงน้ำดีลดลง
  • คอเลสเตอรอลสูง
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีระดับไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงมากๆ 
  • โรคเลือด โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย
  • ตั้งครรภ์หลายครั้ง
  • กินยาคุมกำเนิด
  • ทานฮอร์โมนจากภาวะหมดประจำเดือน
  • การได้ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากการรับประทานหรือตั้งครรภ์ ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีสูง
  • ผู้ที่อดอาหาร หรือลดน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายละลายไขมันมากไป
  • ทานยาลดไขมันในเลือดบางชนิด ทำให้คอเลสเตอรอลในน้ำดี
  • พันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัว

การตรวจวินิจฉัยโรคนิ่วในถุงน้ำดี

การตรวจที่ดีที่สุดคือ การพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยการทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน จะทำให้เห็นรายละเอียดของก้อนนิ่วในถุงน้ำดีได้ชัดเจน  

วิธีการรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดี

การรักษาผู้ป่วยที่มีอาการจากนิ่วในถุงน้ำดี หากสามารถทำการผ่าตัดได้ แนะนำให้ผ่าตัดเพื่อเอาถุงน้ำดีออกทุกราย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งมีทั้งการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องที่มักใช้รักษาผู้ป่วยในกรณีที่มีการอักเสบมากและแตกทะลุในช่องท้องจำเป็นต้องพักฟื้นค่อนข้างนาน และการผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) ที่แพทย์จะเจาะรูขนาดเล็กบริเวณหน้าท้องด้วยเครื่องมือเฉพาะ จากนั้นใส่กล้องเข้าไปเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนทุกมิติ ก่อนจะตัดขั้วและเลาะถุงน้ำดีให้หลุดออก วิธีนี้นอกจากช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นอวัยวะภายในได้ชัดเจน แผลยังมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย ลดโอกาสการติดเชื้อ ผู้ป่วยฟื้นตัวไว ไม่ต้องพักฟื้นนาน ซึ่งควรผ่าตัดรักษาภายใน 72 ชั่วโมง และหลังจากผ่าตัดถุงน้ำดีออกไปแล้ว ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการย่อยอาหาร เพราะถุงน้ำดีเป็นเพียงที่เก็บพักน้ำดี แต่ควรลดของมัน เน้นทานผักและปลามากขึ้น เพื่อให้ห่างไกลจากอาการท้องอืดและมีสุขภาพดีในระยะยาว

"นิ่วในถุงน้ำดี" โรคใกล้ตัวผู้หญิงวัย 40+

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมนิ่วในถุงน้ำดีพบมากในผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงวัย 40 ปี นั่นเป็นเพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนทำให้คอเลสเตอรอลในน้ำดีสูงขึ้น ดังนั้นถ้าหากมีไขมันในเลือดสูง ทานยาคุมกำเนิดหรือทานฮอร์โมนจากภาวะหมดประจำเดือน มีบุตรหลายคน เป็นโรคเบาหวาน โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ล้วนแล้วแต่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีทั้งสิ้น ดังนั้นหากสงสัยควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอัลตราซาวนด์โดยเร็วที่สุด

 

โรคนิ่วในถุงน้ำดีป้องกันได้!!

การป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดีสามารถทำได้โดยดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เลี่ยงของมัน ของทอด ของหวาน ระวังไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งเป็นอย่างน้อย ครั้งละ 20-30 นาที ที่สำคัญตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย หากมีอาการผิดปกติในลักษณะที่ชวนสงสัยรีบพบแพทย์ทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะอาจรุนแรงถึงขั้นถุงน้ำดีเน่า ถุงน้ำดีแตกจนเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด หรือเกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้ในอนาคต

 

logoline