เป็นเรื่องฮือฮาในหมู่คนรักสุขภาพอีกครั้ง จากกรณีศึกษาผู้ป่วยน่าสนใจของโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ ที่พบโรคนิ่วในถุงน้ำดีกว่า 40 ก้อน!! โดยผู้ป่วยเป็นหญิงอายุ 35 ปีเศษ ให้ประวัติว่ามีอาการ จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ เป็นมากเมื่อรับประทานอาหาร รักษาตนเองโดยการซื้อหายารักษาโรคกะเพาะอาหาร ยาขับลม พอบรรเทาได้บ้าง นานเข้าอาการเป็นมากขึ้น จนมีอาการคลื่นไส้ จะอาเจียน เวลารับประทานอาหาร อาการดังกล่าวนี้เป็นมานานมากกว่า 1 ปี
ต่อมามีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงเฉียบพลัน ได้เข้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ตรวจพบว่ามีนิ่วอยู่ในถุงน้ำดีเป็นจำนวนมาก และมีบางส่วนอุดตันท่อน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ แพทย์ได้ส่องกล้องคล้องเอานิ่วในถุงน้ำดีออก อาการปวดทุเลาลง ผู้ป่วยได้มารักษาต่อที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ ส่งพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรม วางแผนให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกด้วยการส่องกล้อง โดยการเจาะรูเล็กๆ ผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกมาได้ เมื่อผ่าถุงน้ำดีพบว่ามีก้อนนิ่วอยู่เป็นจำนวนมาก หลังผ่าตัดผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว กลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ใช้สิทธ์บัตรทอง แม้อายุน้อย เป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีและถุงน้ำดีอักเสบได้ หากมีอาการผิดปกติทางเดินอาหารเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์
โรคนิ่วในถุงน้ำดี อันตรายมากแค่ไหน?
โรคนิ่วในถุงน้ำดี เป็นโรคในระบบทางเดินอาหารที่สามารถเกิดขึ้นได้และมีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตหากไม่รีบรักษา ส่วนใหญ่มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยพบได้ตั้งแต่อายุ 30–50 ปี ความน่าสนใจของโรคนี้คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารจึงหายามารับประทานเอง จนกระทั่งอาการรุนแรงจึงมารับการรักษา เพราะฉะนั้น การรู้ทันโรคนิ่วในถุงน้ำดีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย
หน้าที่ของ ‘ถุงน้ำดี’
ถุงน้ำดี (Gallbladder) เป็นอวัยวะบริเวณช่องท้องทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำดี ทำให้น้ำดีเข้มข้นเพื่อพร้อมสำหรับย่อยไขมัน
รู้จัก ‘โรคนิ่วในถุงน้ำดี’
นิ่วในถุงน้ำดี (Gall Stone) เป็นโรคในระบบทางเดินน้ำดีที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการตกตะกอนของหินปูน หรือคอเลสเตอรอลในน้ำดี ทำให้เกิดนิ่ว โดยลักษณะนิ่วมี 3 ประเภท ได้แก่
นิ่วในถุงน้ำดี เกิดจากอะไร ?
เกิดจากการตกผลึกของหินปูน (แคลเซียม) คอเลสเตอรอล และบิลิรูบิน (สารเคมีชนิดหนึ่งที่ให้สีเหลืองออกน้ำตาล เกิดจากการแตกตัวหรือการตายของเซลล์เม็ดเลือดแดงในหลอดเลือด) ที่มีอยู่ในน้ำดี ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการตกผลึกของสารเหล่านี้ เชื่อว่าเกิดจากการติดเชื้อของทางเดินน้ำดี และความไม่สมดุลของส่วนประกอบคอเลสเตอรอลและบิลิรูบินในน้ำดี การตกผลึกของสารเหล่านี้อาจทำให้เกิดเป็นก้อนนิ่วเพียงก้อนเดียว หรือก้อนเล็กๆ หลายๆ ก้อน
สัญญาณเตือน ‘โรคนิ่วในถุงน้ำดี’
อาการบอกโรคนิ่วในถุงน้ำดีอาจไม่แสดงอาการใดๆ หรือมีบางอาการที่น่าสังเกต ดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ ก้อนนิ่วที่ตกตะกอนอาจมีขนาดเล็กเท่าเม็ดทราย หรือใหญ่เท่าลูกกอล์ฟ จำนวนมีได้ตั้งแต่หนึ่งก้อนไปจนถึงหลายร้อยก้อนได้ หากมีขนาดใหญ่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้
กลุ่มเสี่ยงเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
การตรวจวินิจฉัยโรคนิ่วในถุงน้ำดี
การตรวจที่ดีที่สุดคือ การพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยการทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน จะทำให้เห็นรายละเอียดของก้อนนิ่วในถุงน้ำดีได้ชัดเจน
วิธีการรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดี
การรักษาผู้ป่วยที่มีอาการจากนิ่วในถุงน้ำดี หากสามารถทำการผ่าตัดได้ แนะนำให้ผ่าตัดเพื่อเอาถุงน้ำดีออกทุกราย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งมีทั้งการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องที่มักใช้รักษาผู้ป่วยในกรณีที่มีการอักเสบมากและแตกทะลุในช่องท้องจำเป็นต้องพักฟื้นค่อนข้างนาน และการผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) ที่แพทย์จะเจาะรูขนาดเล็กบริเวณหน้าท้องด้วยเครื่องมือเฉพาะ จากนั้นใส่กล้องเข้าไปเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนทุกมิติ ก่อนจะตัดขั้วและเลาะถุงน้ำดีให้หลุดออก วิธีนี้นอกจากช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นอวัยวะภายในได้ชัดเจน แผลยังมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย ลดโอกาสการติดเชื้อ ผู้ป่วยฟื้นตัวไว ไม่ต้องพักฟื้นนาน ซึ่งควรผ่าตัดรักษาภายใน 72 ชั่วโมง และหลังจากผ่าตัดถุงน้ำดีออกไปแล้ว ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการย่อยอาหาร เพราะถุงน้ำดีเป็นเพียงที่เก็บพักน้ำดี แต่ควรลดของมัน เน้นทานผักและปลามากขึ้น เพื่อให้ห่างไกลจากอาการท้องอืดและมีสุขภาพดีในระยะยาว
"นิ่วในถุงน้ำดี" โรคใกล้ตัวผู้หญิงวัย 40+
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมนิ่วในถุงน้ำดีพบมากในผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงวัย 40 ปี นั่นเป็นเพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนทำให้คอเลสเตอรอลในน้ำดีสูงขึ้น ดังนั้นถ้าหากมีไขมันในเลือดสูง ทานยาคุมกำเนิดหรือทานฮอร์โมนจากภาวะหมดประจำเดือน มีบุตรหลายคน เป็นโรคเบาหวาน โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ล้วนแล้วแต่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีทั้งสิ้น ดังนั้นหากสงสัยควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอัลตราซาวนด์โดยเร็วที่สุด
โรคนิ่วในถุงน้ำดีป้องกันได้!!
การป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดีสามารถทำได้โดยดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เลี่ยงของมัน ของทอด ของหวาน ระวังไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งเป็นอย่างน้อย ครั้งละ 20-30 นาที ที่สำคัญตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย หากมีอาการผิดปกติในลักษณะที่ชวนสงสัยรีบพบแพทย์ทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะอาจรุนแรงถึงขั้นถุงน้ำดีเน่า ถุงน้ำดีแตกจนเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด หรือเกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้ในอนาคต