ก่อนหน้านี้เราคงได้ยินข่าว นักท่องเที่ยวมาเลย์-สิงคโปร์ แห่ซื้อ 'สะตอ' กลับบ้าน กลายเป็นเรื่องที่นิยมกันในหมู่นักท่องเที่ยวช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ขากลับจะซื้อสะตอติดมือกลับบ้าน หลังเริ่มมีผลผลิตออกสู่ตลาด ทำให้บรรดาเกษตรกรผู้ปลูกผู้ขายคึกคัก
รู้จักสะตอให้มากขึ้น
สะตอ หรือ Stink bean มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Parkia speciosa Hassk เป็นไม้ยืนต้นที่มีฝักแบนยาว มีกลิ่นฉุน โดยสะตอเป็นพืชท้องถิ่นและพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคใต้ มีถิ่นกำเนิดในประเทศเขตร้อน พบมากที่ประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นพืชยืนต้นที่ลำต้นสูงได้มากถึง 30 เมตร ก่อนจะออกฝักสะตอจะมีตัวดอกออกมาก่อน เรียกว่า “สะตอหย่อนโหม่ง” ซึ่งตัวดอกจะเป็นหัวกลมๆ สีเหลืองๆ พอตัวเกสรร่วงจนหมดดี สักพักตัวฝักก็จะออกตามมา ต้นสะตอจะเริ่มออกดอกตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป และจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ใช้ระยะเวลา 68-70 วัน เริ่มให้ผลผลิตครั้งแรกอายุ 4-7 ปี โดยในต้นหนึ่งๆ จะให้ผลผลิตได้ประมาณ 200-300 ฝัก และจะให้ฝักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีตามอายุ
ลักษณะของฝักสะตอจะมีสีเขียวแวววาว เมล็ดเรียงกันสวยงาม สะตอสามารถรับประทานได้ทั้งสุกและดิบ มีรสชาติดีและคุณค่าทางอาหารสูง จะออกฝักได้ดีในช่วงฤดูฝน
สะตอมี 3 สายพันธุ์ ได้แก่
เมนูสะตอ
สะตอ นอกจากจะสามารถใช้กินเป็นผักแนมกินกับน้ำพริกแล้ว ยังนำมาประกอบอาหารจานเด็ด เช่น แกงกะทิ แกงส้ม โดยนิยมกินเมล็ดสดทั้งแกะเปลือกหุ้มเมล็ดหรือไม่แกะเปลือกหุ้มเมล็ด หรืออาจจะนำเมล็ดสะตอไปดัดแปลงโดยน้ำมาดอง ต้มหรือนำเอาทั้งฝักไปเผาไฟ เรียกว่า “ตอหมก” และปรุงอาหารอื่นๆ อาทิ สะตอผัดกะปิ คั่วกลิ้ง ผัดเผ็ด ต้มกะทิ เป็นต้น
คุณค่าทางโภชนาการของสะตอ (เฉพาะเมล็ด) 100 กรัม มีคุณค่าทางสารอาหาร ดังนี้
นอกจากนี้ สะตอยังเป็นผักที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงมาก ทั้งยังอุดมด้วยธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซีอีกด้วย
คุณประโยชน์ของสะตอต่อร่างกาย
เคล็ดลับลดกลิ่นปากหลังกินสะตอ
ทริคง่ายๆ ที่สามารถกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์หลังการกินสะตอ คือการกินมะเขือเปราะตามไปประมาณ 2-3 ลูก จะช่วยให้ในการดับกลิ่นเหม็นเขียวของสะตอได้ดีในระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ ในการบริโภคสะตอ ควรบริโภคให้พอเหมาะ เนื่องจากสะตอมีกรดยูริกสูง สำหรับผู้ที่เป็นโรคเก๊าต์ หรือผู้ที่มีกรดยูริกในร่างกายสูงเกินค่ามาตรฐาน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสะตอ เพราะอาจจะทำให้เกิดโรคเก๊าต์กำเริบได้ และกรดยูริกในร่างกายที่สูงก็ยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนิ่ว โรคไตอักเสบ และมีอาการหูอื้อ