ไม่ยากเลย!!
7 เทคนิคขับรถในช่วงฝน เพื่อความปลอดภัย รายละเอียดมีดังนี้
1. ตรวจสอบที่ปัดน้ำฝนให้พร้อมใช้งานเสมอ
ในช่วงที่ฝนตก อุปกรณ์สำคัญของรถที่ขาดไม่ได้เลยก็คือใบปัดน้ำฝน เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่เราจะต้องตรวจดูความเรียบร้อยคือยางปัดน้ำฝนว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ ทั้งของกระจกบานหน้า และกระจกมองหลัง (สำหรับรถยนต์ในบางรุ่น) โดยยางปัดน้ำฝนจะต้องไม่แข็งกรอบ และไม่มีการฉีกขาด เพราะจะทำให้ไม่สามารถรีดน้ำออกจากกระจกได้เกลี้ยง ซึ่งจะส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับรถช่วงที่ฝนตกอย่างแน่นอน นอกจากนี้ การปรับความเร็วของที่ปัดน้ำฝนขณะขับรถต้องให้เหมาะสมกับความแรงของฝนที่ตกด้วย เพื่อไม่ให้บดบังทัศนวิสัยขณะขับขี่
2. ควรขับไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อฝนตกถนนก็มักจะลื่นกว่าปกติเป็นธรรมดา โดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกใหม่ๆ คราบดินบนพื้นถนนจะผสมกับน้ำฝน ทำให้รถลื่นไถลได้ง่าย ดังนั้นจึงไม่ควรขับรถเร็ว เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถหยุดรถได้ในระยะที่ปลอดภัย โดยความเร็วที่เหมาะสมในการขับช่วงฝนตก ก็คือไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และถ้าหากต้องขับรถในบริเวณที่มีน้ำท่วมขังให้สังเกตระดับความลึกของน้ำ โดยเปรียบเทียบกับรถคันข้างหน้าหรือขอบฟุตบาทข้างทาง หากประเมินแล้วสามารถขับผ่านไปได้ขณะที่ขับลุยน้ำควรจะปิดแอร์ และใช้เกียร์ต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำย้อนเข้าไปในท่อไอเสียได้
3. เว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้า และไม่ควรเบรกกระทันหัน
การขับรถในขณะที่ฝนตกนอกจากทัศนวิสัยจะไม่ดีแล้ว สภาพถนนที่เปียกลื่นยังทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเราควรที่จะขับเว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้ามากกว่าปกติประมาณ 2 เท่า หรืออย่างน้อย 12-15 เมตร เพื่อให้มีระยะทางในการเบรกที่มากขึ้น และยังช่วยหลีกเลี่ยงน้ำจากรถคันข้างหน้าที่อาจกระเด็นมาบดบังทัศนวิสัยของเราด้วย นอกจากนี้อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อรถเกิดการลื่นไถลก็คือการเบรกกระทันหัน หยุดรถในทันที เพราะอาจทำให้ล้อล็อก และรถเสียการทรงตัวจนเกิดการพลิกคว่ำได้ แนะนำให้ค่อยๆ ลดความเร็วลงโดยการถอนคันเร่ง และใช้เกียร์ต่ำ จากนั้นจึงค่อยๆ แตะเบรก เพื่อไล่น้ำออกจากผ้าเบรกจะปลอดภัยกว่า
4. เปิดไฟหน้ารถ แต่อย่าเปิดไฟสูงและไฟฉุกเฉิน
เมื่อต้องขับรถฝ่าสายฝนหนักๆ ให้เปิดไฟหน้ารถเสมอ แต่ให้ใช้ไฟต่ำ เพื่อช่วยให้มองเห็นสิ่งต่างๆ บนถนนได้ชัดเจนขึ้น และเพื่อให้รถคันอื่นยังสามารถมองเห็นรถเราได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ควรใช้เป็นไฟสูงเป็นอันขาด เพราะแสงไฟจะไปสะท้อนกับน้ำฝน ทำให้เกิดเป็นวงแสงสีขาวที่ด้านหน้ากระจกบดบังทัศนวิสัยในการขับรถของเรา นอกจากนี้ แสงจะสะท้อนไปส่องเข้าตาผู้ที่ขับรถสวนทางกับเรา ทำให้มองทางไม่เห็นอีกด้วย อีกหนึ่งสิ่งที่เรามักพบเห็นกันบ่อยๆ คือการเปิดไฟฉุกเฉิน หรือไฟกระพริบ ในความจริงๆ แล้วไม่ควรทำ เพราะไฟฉุกเฉินควรเปิดเฉพาะเวลาที่รถเกิดปัญหาเท่านั้น ถ้าเราเปิดอาจสร้างความสับสนแก่ผู้ร่วมใช้เส้นทางได้ และยังทำให้ไม่มีสัญญาณไฟเลี้ยวใช้ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้
5. ถ้าฝนตกหนักมาก แนะนำให้จอดพักรถไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย
หนึ่งอุปสรรคสำคัญในการขับรถขณะที่ฝนตกก็คือทัศนวิสัยในการมองเห็นทางที่ไม่ชัดเจน ยิ่งถ้าเวลาฝนตกหนัก ผู้ขับขี่ก็ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ แต่ในกรณีที่ฝนตกหนักมาก จนไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าในระยะ 10 เมตรได้ชัดเจน ก็ไม่ควรฝืนขับรถไปต่อ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ข้อแนะนำที่ดีให้หาที่จอดรถที่ปลอดภัย รอจนฝนเบาแล้วค่อยเดินทางต่อ แต่ควรหลีกเลี่ยงการจอดพักรถในบริเวณใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง และต้นไม้สูงๆ ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวในบริเวณนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้า ทำให้เกิดฟ้าผ่า หรืออาจจะเกิดการหักโค่นของเสาไฟ และต้นไม้ได้ นอกจากนี้ถ้าหากต้องจอดรถเป็นเวลานานๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้เบรคมือ เพื่อป้องกันอาการเบรคติด ที่มักเกิดขึ้นเวลาที่รถเปียกน้ำ
6. ตรวจเช็กทัศนวิสัยในการขับรถตลอดเวลา
ในขณะที่ฝนตกอุณหภูมิภายนอก และภายในรถมักจะแตกต่างกัน ทำให้มักจะเกิดละอองฝ้าเกาะกระจก และหน้าต่างเสมอดังนั้นควรเปิดเครื่องปรับอากาศ เพื่อสลายความชื้นภายในรถ หากรถของคุณไม่มีระบบปรับอากาศ มีข้อแนะนำที่ทำได้ง่ายๆ ก็คือให้เปิดช่องหน้าต่างด้านหลังให้มีช่องว่างเพียงพอให้อากาศถ่ายเทได้ หากเกิดฝ้าบนกระจกมากๆ จนทำให้บดบังทัศนวิสัยจนรู้สึกว่ามองทางไม่ชัดเจน
ทั้งนี้ ผู้ขับขี่ก็ควรลดความเร็ว หรือจอดเพื่อทำความสะอาดกระจก และนอกจากควรงดใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ โดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตกเราต้องใช้สมาธิ และเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถมากกว่าปกติ การที่ขับรถไปใช้โทรศัพท์ไปจะช่วยเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง
7. ทำประกันภัยไว้หน่อย..เพื่อความอุ่นใจกว่าของทุกฝ่าย
แน่นอนการขับรถในภาวะที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติอย่างในช่วงที่ฝนตกบ่อย การที่รถเราทำประกันภัยไว้ ก็จะเพิ่มความอุ่นใจ ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันก็จะมีคนเข้ามาช่วยดูแลทั้งในส่วนของการเกิดอุบัติเหตุ และการเกิดภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วม ประกันภัยก็จะช่วยเข้ามารับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่ายต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ดังนั้น ในช่วงหน้าฝนต่อหน้าหนาวแบบนี้ ตรวจเช็กทุกอย่างให้พร้อม ระวังถ้ามีประกัน ก็อย่าให้ประกันขาดหรือหมดอายุ เพื่อความมั่นใจตลอดเส้นทาง
ที่มา : กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ