ข้อดีของการวางแผนการลงทุนตั้งแต่ต้นปี
1. ดีที่มีเวลาวางแผนการลงทุนได้ทั้งปีโดยอาศัยเทคนิค Market timing คอยจับจังหวะลงทุนระหว่างปีในช่วงที่หุ้นตกหรือจะทยอยซื้อทุกๆครั้งที่หุ้นตก เพื่อที่จะเฉลี่ยต้นทุนได้ถูกกว่าไปรอซื้อทีเดียวก่อนใหญ่ในช่วงปลายปี
2. สามารถทำ Saving plan เฉลี่ยเงินลงทุนเป็นรายเดือน (หักเป็นงวด ๆ)ไม่ต้องเสียทีเดียวเป็นก้อน
3. กรณีคนที่เพิ่งได้รับเงินโบนัส ก็สามารถนำมาบริหารแผนการลงทุนได้ทันทีโดยแบ่งเงินไว้สำหรับลงทุนด้วยเพื่อความมั่งคั่งในชีวิตบั้นปลาย อย่าเผลอใช้จนโบนัสหมดไม่รู้ตัว
4.สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้เลยเพราะบางบริษัท สามารถแจ้งฝ่าย HR ให้เอาเงินก้อนที่เราลงทุนตั้งแต่ต้นปีไปคำนวณภาษีหักณ ที่จ่ายได้เลย ทำให้เราจะถูกหักภาษีจากเงินเดือนน้อยลงกว่าเดิมเสมือนกับได้ภาษีคืนก่อนจะยื่นภาษี
5. หากเลือกกองทุนที่มีการจ่ายปันผล ก็มีโอกาสได้รับเงินปันผลระหว่างปีมีเงินสดไว้ใช้หรือจะนำไปลงทุนเพิ่มเติมก็ยังได้
การวางแผนลงทุนตั้งแต่ต้นปีมีข้อดีขนาดนี้ ดังนั้นก็อย่ารอช้าเริ่มลงทุนกันเลยดีกว่า โดยวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้ง่ายๆ คือการเตรียมเงินไว้ซื้อกองทุนทุกๆเดือน เพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุน ซึ่งเรียกว่าการลงทุนแบบ DCA(Dollar-CostAveraging)โดยสามารถกำหนดการซื้อได้เป็นแบบรายเดือน หรือรายไตรมาสก็ได้ตามความสะดวกทางการเงินของนักลงทุนบวกกับการลงทุนแบบ Market timing ซึ่งคือการรอซื้อเพิ่มเติมในจังหวะที่หุ้นตกจะทำให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวอยู่ในระดับสูง ซึ่งตอบโจทย์การลงทุนในระยะยาวของกองทุนLTF / RMF เพราะยิ่งลงทุนนานก็ยิ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนดี
เมื่อแผนลงทุนพร้อมก็เริ่มได้เลย
หัวใจสำคัญของการวางแผนการลงทุนอีกอย่างหนึ่งก็คือการพิจารณาเลือกกองทุนที่สามารถสร้างผลการดำเนินที่ดีอย่างสม่ำเสมอโดยสังเกตเลือกกองทุนที่มีผลตอบแทนชนะตลาด และมีนโยบายการลงทุนที่สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดหุ้นได้ดีรวมถึง ดู performance ย้อนหลังของกองทุนแม้ผลตอบแทนในอดีตจะไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคตได้ แต่ก็สามารถนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาเลือกกองทุนได้
ในปี 2559 ที่ผ่านมาพบว่าแม้ตลาดหุ้นไทยจะต้อง เผชิญกับความผันผวนทั้งจากปัจจัยภายในและนอกประเทศแต่กองทุน K20SLTF และ KMSRMF จากบลจ. กสิกรไทย ยังสามารถสร้างผลตอบแทนโดดเด่น เพราะมีการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยมจากทีมผู้จัดการกองทุนและมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างและโดดเด่น ซึ่งในปี 2560 หัวใจของการลงทุนของบลจ.กสิกรไทย ยังคงเน้นการคัดเลือกหลักทรัพย์เป็นรายตัว (Selective) โดยเน้นหุ้นที่มีระดับราคาน่าสนใจ และมีโอกาสเติบโตสูงรวมถึงเน้นคัดเลือกหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ สอดคล้องกับมุมมองใน1 ปีข้างหน้า บลจ.กสิกรไทยยังประเมินว่าหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มได้อีกโดยหุ้นขนาดกลางและเล็กมีแนวโน้มที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่และ SETIndex พร้อมคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยที่ 10% และมองเป้าหมายดัชนีหุ้นปลายปีที่ 1,690 จุด ดังนั้นกองทุนLTF ที่มีนโยบายลงทุนแนว Selective เช่นK20SLTF และกองทุนRMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก เช่น KMSRMFจึงเป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปีนี้และมีโอกาสสร้างผลแทนได้สูง
กองทุน K20 Select LTF (K20SLTF)เป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี และ 3 ปี ให้ผลตอบแทนที่ 18.36% ต่อปี และ 12.48% ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 30 ธ.ค. 59) จากกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นไม่เกิน 20 ตัวโดยเน้นการลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นทั้งนี้ยังพิจารณาปัจจัยบวกที่มีผลกระทบทั้งระยะสั้นและยาวควบคู่กันไปเพื่อให้แนวโน้มผลตอบแทนพอร์ตการลงทุนที่ดีและมีเสถียรภาพในแต่ละช่วงเวลา
อีกหนึ่งกองทุนที่คัดสรรมาแล้วว่าดีคือ กองทุน K Mid Small Cap Equity RMF (KMSRMF)เป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนและ 1 ปี ให้ผลตอบแทนที่ 17.99 % และ 30.55% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 30 ธ.ค. 59) โดยเอาชนะหุ้นขนาดใหญ่ และ SETIndex ซึ่งอยู่ที่ 19.73% เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มี MarketCap ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาทโดยเน้นคัดเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตดีและมีโอกาสเติบโตเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในอนาคตรวมทั้งพิจารณาถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่มีต่อการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
โดยนักลงทุนที่สนใจลงทุนกับกองทุนLTF /RMF กสิกรไทย สามารถลงทุนขั้นต่ำแค่ 500 บาท ซื้อง่ายๆ ผ่าน K-Mobile Banking PLUS, บริการ K-CyberInvest และที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.kasikornasset.com/Pages/LTF-RMF.aspx