พุหางนาค เป็นสวนหินธรรมชาติที่มีอายุกว่าหมื่นล้านปี โดยบริเวณนี้ในยุคก่อนเคยเป็นก้นทะเลมาก่อน เมื่อยุคสมัยผ่านไป เกิดการดันตัวขึ้นของชั้นหิน เกิดการกัดเซาะและการแปรสภาพเป็นสนิมหินผุพังจากน้ำฝน ลมพายุ รวมไปถึงการชอนไชของรากไม้และการสะสมของกรดตะกอนดิน ได้ก่อให้เกิดสวนหินรูปร่างแปลกตา ที่กลายมาเป็นจินตนาการของผู้คนที่มาเยือน ทั้ง เต่ายักษ์ ปลาวาฬ และลูก จระเข้ หินรูปหัวใจ ในสวนหินพุหางนาค ด้วยจินตนาการของผู้ที่มาเยี่ยมเยือน รวมถึงบนยอดเขา มีสิ่งก่อสร้างจากมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ให้ได้ซึมซับเรื่องราวเมื่อกว่า 2-3000 ปีที่แล้ว
แผนที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติ
กลุ่มอาสาสมัครได้มีการพบสิ่งก่อสร้างเก่าแก่บนยอดเขามากกว่า 15-20 จุด เป็น อาคารหินเทิน สัณฐานรูปทรงกลมที่มีการนำหินแคลซิลิเกตสกัดเป็นก้อน ขนาดที่แรงมนุษย์สามารถยกได้เพียงคนเดียวมาเรียงซ้อนขึ้นเป็นอาคารรูปทรงกระบอก หากสมบูรณ์จะมีความสูงประมาณ 3-4 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เมตร ด้านหลังอาคารถูกปรับพื้นที่เป็นลานดินราบเสมอ เฉพาะอาคารหินบนยอดเขาสูงสุด 2 ยอดของเทือกเขา ก็พบอาคารหินที่มีการปรับพื้นด้านหลังเป็นลานกว้าง ชิ้นส่วนของหินศิลาแลงที่มีลวดลายปูนปั้นทำเป็นยอดสถูปและเศษอิฐแบบวัฒนธรรมทวารวดีที่มีการผสมแกลบข้าวอ้วนป้อมอยู่ในเนื้อ ถูกขุดรื้อเพื่อหาวัตถุโบราณกระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณยอดเขา
อาจารย์วรณัย พงศาชลากร นักวิชาการอิสระทางมานุษยวิทยา ให้ความเห็นที่น่าสนใจไว้ว่า รูปแบบของอาคารหินใกล้พุหางนาคในครั้งแรกสร้างนั้น ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคติความเชื่อและศาสนาพื้นเมือง แบบที่เรียกว่า หินตั้ง ที่จะปรากฏหินรูปแบบต่างๆ ล้อมรอบพื้นที่หรือศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นอาคารหอคอยหิน หรือ หอหินเทิน (Stone Tower) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์ ในการ ตามไฟ (Illuminations) จากหลักฐานที่จะพบจุดที่ตั้งของหอหินเทินบนยอดเนินเขาลดหลั่น เฉพาะทางฝั่งทิศตะวันออกของเทือกเขาที่หันหน้าไปทางแม่น้ำจระเข้สามพัน และแนวฝั่งทะเลตมโบราณ (ป่าโกงกาง) ของเมืองอู่ทองในยุค 1,800-2,000 ปี ก่อนการเกิดของเมืองรูปวงกลมในยุคทวารวดีเท่านั้น
การสร้างหอหินตามไฟ เฉพาะทางฝั่งเขาทิศตะวันออกที่รับกับแนวฝั่งทะเลโบราณ ก็เพื่อใช้เป็นจุดสังเกต (Landmark) ของการเดินทางโดยทางน้ำเข้าสู่ที่ตั้งของชุมชนโบราณในยุคแรกเริ่มที่เทคโนโลยียังต้องพึ่งพาธรรมชาติ ไม่ทันสมัยเหมือนในปัจจุบัน จากป่าโกงกางที่มีคลองซับซ้อนห่างไกล เมื่อมองมายังแนวเขาทอดตัวยาว กลางวันก็จะเห็นควัน กลางคืนจะเห็นไฟ เป็นหลักฐานสำคัญในช่วงแรกแห่งการปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมในภูมิภาค (ชนพื้นเมือง) กับวัฒนธรรม-ผู้คนภายนอก (จากอินเดีย) ก่อนจะพัฒนาเข้าสู่วัฒนธรรมทวารวดีในช่วงต่อมา
จนเมื่อน้ำทะเลงวดลงในหลายร้อยปีต่อมา เส้นการเดินทางทั้งทางน้ำและทางบกเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น หอหินเทินบนยอดเขาจึงหมดความสำคัญลง จนผู้คนในยุควัฒนธรรมทวารวดีในช่วง 1,100-1,300 ปีที่แล้ว ได้กลับขึ้นมาบนยอดเขาและได้ดัดแปลงส่วนบนของหอหินเทิน ให้กลายมาเป็นสถูปเจดีย์บน พระสุเมรุ สมมุติ สถาปนาให้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตามคติความเชื่อทางพุทธศาสนาในยุคนั้น
การสำรวจพบหอหินเทิน บนเทือกเขาที่มีความงดงามทางธรรมชาติและความหลากหลายของพืชพรรณที่เขาพุหางนาค ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ของการท่องเที่ยวให้กับเมืองอู่ทอง ที่มีทั้งแหล่งโบราณคดีเก่าแก่มากมาย พืชพันธุ์สมุนไพรที่น่าสนใจอย่าง กำลังวัวเฉลิม, ว่านสามสิบ (สาวร้อยผัว), จันผาป่าปรง และสวนหิน 500 ล้านปี แถมยังมีการจัดการท่องเที่ยวแบบมี จิตสำนึก โดยภาคประชาชนที่เข้มแข็งในท้องถิ่น
ประตูเมืองลับแล
คล้ายๆลิงหันข้าง
ดอกกระเจียวพื้นถิ่น ทานได้ นำไปยำ
กำแพงหิน เหมือนกำแพงเมือง
เหมือนคนเงยหน้าขึ้นและมีของเทินอยู่บนหัว
เทียนต้น
ความงามที่ธรรมชาติช่วยสร้างสรรค์
ลานสวนหิน
แมลงที่มีลายที่ปีกเหมือนหน้าคน
แวะชมทิวทัศน์ด้านบน พอให้หายเหนื่อย
รอยการดันของหิน
รังมดระหว่างทางดูแปลกตา
แต่ก่อนบริเวณนี้อยู่ก้นทะเล เกิดการดันตัวขึ้นมา และเมื่อระดับน้ำทะเลลดลงก็กลายเป็นเขาเล็กๆในอำเภออู่ทอง
กำแพง
สะพานหิน
ลานหินซ้อน
พักสายตาจากอีกมุม
ธรรมชาติช่างยิ่งใหญ่
จันผาบนก้อนหินใหญ่
ตองตึง ที่นี่ก็มี
วิวสวยๆจากธรรมชาติ
ลายหินที่แตกบริเวณนี้จะเห็นเป็นพญานาค ตามชื่อพุหางนาค
จันผาอายุหลายร้อยปี บนก้อนหิน
หินโลมาแม่ลูก
น้าคมแนะนำสำหรับผู้ที่จะไปสำรวจพุหางนาค ควรฟิตร่างให้พร้อม รองเท้าผ้าใบ กับน้ำซักขวด ทางเดินที่ค่อนข้างจะวิบาก แต่เชื่อเหอะ คุ้มครับ โดยเฉพาะคนรักหิน และชอบเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ^^
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก คอลัมน์ชวนเที่ยว