
ในโซเชียลแชร์เรื่องราวของหญิงสาววัยรุ่นอายุเพียง 22 ปี ร้องขอความเป็นธรรม หลังเข้ารับการรักษา “โรคซึมเศร้า” แต่เกิดอาการ “แพ้ยา” อย่างหนักจนเกิดแผลไหม้ทั้งตัว สูญค่ารักษาพยาบาลเกือบ 2 ล้านบาท ครั้งนี้เราจึงชวนมารู้จักยารักษา “โรคซึมเศร้า” แต่ละชนิด พร้อมข้อควรระวังการใช้ยา
สถานการณ์ของผู้ป่วยด้านสุขภาพจิตในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วง 8 ปีที่ผ่านมา พบว่าจำนวนผู้ป่วยในระบบเพิ่มสูงขึ้น 2 เท่า มีผู้ป่วยรับการรักษา 2 ล้านคน แต่คาดว่าจะผู้มีป่วยจริงมากถึง 10 ล้านคน หรือประมาณกว่า 10% ของประชากร
ในขณะที่ผลสำรวจคนกรุงพบว่า 7 ใน 10 ตกอยู่ใน “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” และสายด่วนกรมสุขภาพจิต กว่าครึ่งปรึกษาเรื่องความเครียด โดยล่าสุด ข้อมูลจากการประเมินสุขภาพจิตตนเอง (Mental Health Check In) ของกรมสุขภาพจิต ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งมีผู้เข้ารับการประเมินกว่า 8.5 แสนคน ปรากฏตัวเลขสัดส่วนผู้มีความเครียดสูง อยู่ที่ร้อยละ 4.5 เสี่ยงซึมเศร้า ร้อยละ 5.8 เสี่ยงฆ่าตัวตาย ร้อยละ 3.2
ข้อมูลโดย พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตแพทย์ทั่วไป และจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ ระบุว่า โรคซึมเศร้า (Depressive Disorder) เป็นโรคที่มีโอกาสรักษาให้หายได้ เพียงต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม ต้องมีการสอบถามอาการ ผลกระทบที่เกิดขึ้นเพื่อประเมินระดับความรุนแรง สำรวจโรคประจำตัว ยาที่รับประทานเป็นประจำ ไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวัน จากนั้นแพทย์เฉพาะทางจะเป็นผู้ประเมินว่าควรรักษาแบบใด
ขณะที่ข้อมูลจากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ยืนยันว่า “โรคซึมเศร้า” สามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีการรักษาทางจิตใจ และการรักษาด้วยยาหลายชนิด โดยที่แต่ละคนอาจตอบสนอง ต่อการรักษาแต่ละชนิดไม่เท่ากัน บางคนอาจต้องการการรักษาหลายอย่างร่วมกัน การรับประทานยาจะทำให้อาการของโรคดีขึ้นเร็ว ในขณะที่การรักษาทางจิตใจจะช่วยให้คุณเหมือนมี “ภูมิคุ้มกัน” สามารถต่อสู้กับปัญหาที่จะย่างกรายเข้ามาได้ดีกว่าเดิม ส่วนใหญ่แล้วการรักษาโรคซึมเศร้าไม่จำเป็นต้องมานอนรักษาในโรงพยาบาลแต่อย่างไร
ยาปรับอารมณ์ซึมเศร้ามีหลายกลุ่ม โดยยาแต่ละกลุ่มมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน การเลือกใช้ยานั้นแพทย์จะเลือกยาให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย ดังนั้น การกินยาต้านซึมเศร้าแนะนำให้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด
ยาต้านซึมเศร้า เมื่อแบ่งยาต้านซึมเศร้าตามกลไกการออกฤทธิ์ สามารถแบ่งได้ดังนี้
ยากลุ่ม SNRIs ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการดูดซึมซีโรโทนิน และนอร์อิพิเนพฟรีนกลับเข้าเซลล์ ทำให้ซีโรโตนินและนอร์อิพิเนพฟรีนเพิ่มขึ้นบริเวณส่วนต่อระหว่างเซลล์ประสาท
ยารักษาอาการซึมเศร้าในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ลดอาการซึมเศร้าโดยการไปเพิ่มระดับ ของ norepinephrine (NE) และ serotonin (5-HT) ในสมองจากการที่ยาไปยับยั้งการดูดซึมกลับเข้าเซลล์ของสารสื่อประสาทได้แก่ NE และ 5-HT กลับเข้าไปในปลายประสาท และจากการที่ยาไปยับยั้ง presynaptic alpha-2 adrenoceptors ยาในกลุ่ม TCAs จะเห็นผลรักษาอารมณ์เศร้าเมื่อใช้ยาไปแล้วนาน 2-3 สัปดาห์
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ monoamine oxidase (MAO) ทำให้การเมตาบอลิซึมของ norepinephrine, dopamine และ serotonin ลดลง ทำให้ความเข้มข้นของสารสื่อประสาทเหล่านี้ภายนอกเซลล์มีมากขึ้น เช่น Moclobemide ในปัจจุบันยาซึมเศร้ากลุ่มนี้ไม่เป็นที่นิยมมากนัก เนื่องจากอาจส่งผลกับยาตัวอื่นที่มีผลในการเพิ่มระดับซีโรโทนิน โดยเฉพาะการได้ร่วมกับยากลุ่ม SSRIs ส่งผลให้เกิดภาวะ serotonin syndrome อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ดังนั้น หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนยาต้านเศร้าจากกลุ่ม MAOIs เป็น SSRIs ต้องหยุดยาต้านเศร้าในกลุ่ม MAOIs อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อน ถึงจะเริ่มใช้ SSRIs ยากลุ่ม MAOIs
โดยทั่วไปแล้วการกินยาต้านเศร้า ต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผล ดังนั้น ไม่ต้องตกใจ หรือไม่ต้องกังวลว่ากินยาแล้วไม่ได้ผล สำหรับในผู้ป่วยรายที่แพทย์แนะนำให้ทานยา แพทย์จะจ่ายยาในกลุ่มยาต้านเศร้า (Antidepressants) เพื่อปรับสารสื่อประสาทในสมองเป็นหลัก โดยการรักษาจะเป็น 3 ระยะการรักษา 1.ช่วงให้อาการสงบ 2.ช่วงรักษาอาการให้คงที่ 3.ช่วงป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรค ระยะเวลาในการทานยา โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้ทานยาอย่างน้อย 6 เดือน โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
ยารักษาโรคซึมเศร้ามีผลข้างเคียงกับผู้ใช้บางคน ดังนั้น เมื่อรู้สึกว่ามีผลข้างเคียงของยาเกิดขึ้น ให้รีบแจ้งแพทย์ทราบ
กลุ่มยา TCA (Tricyclic antidepressant)
1.ผลข้างเคียงยารักษาโรคซึมเศร้า ปากแห้งคอแห้ง ผลข้างเคียงยาที่พบมากที่สุดคือปากแห้งคอแห้ง แนะนำให้ดื่มน้ำบ่อยๆ เคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล รักษาสุขภาพช่องปากให้ดี
2.ผลข้างเคียงยารักษาโรคซึมเศร้า ท้องผูก แนะนำให้กินอาหารที่มีกาก หรือมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ผักผลไม้ เช่น ส้มโอ มะขาม มะละกอ
3.ผลข้างเคียงยารักษาโรคซึมเศร้า ปัญหาการถ่ายปัสสาวะ อาจมีการถ่ายปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่พุ่งเช่นเคย แนะนำให้ใช้มือกอหน้าท้องช่วย และปรึกษาแพทย์
4.ผลข้างเคียงยารักษาโรคซึมเศร้า ปัญหาทางเพศ อาจมีปัญหาขณะร่วมเพศได้บ้าง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์
5.ผลข้างเคียงยารักษาโรคซึมเศร้า ตาพร่ามัว แนะนำให้ของอาการนี้คืออาการจะหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องตัดแว่นใหม่
6.ผลข้างเคียงยารักษาโรคซึมเศร้า เวียนศีรษะ แนะนำให้ลุกจากเก้าอี้ หรือเตียงช้าๆ ดื่มน้ำมากขึ้น
7.ผลข้างเคียงยารักษาโรคซึมเศร้า ง่วงนอน อาการอาจหายไปเอง แนะนำให้อย่าพยายามขับรถ หรือทำงานกับเครื่องจักร หากง่วงมากในช่วงเช้าให้เลื่อนยามื้อก่อนนอนมากินหัวค่ำกว่าเดิม
กลุ่มยา SNRIs (Serotonin and Norepinephrine Reuptake Inhibitors)
1.ผลข้างเคียงยารักษาโรคซึมเศร้า ปวดศรีษะ อาจมีอาการสักช่วงหนึ่ง แล้วจะหายไป
2.ผลข้างเคียงยารักษาโรคซึมเศร้า คลื่นไส้ อาเจียน มักเป็นเพียงชั่วคราว
3.ผลข้างเคียงยารักษาโรคซึมเศร้า นอนไม่หลับ หรือกระวนกระวาย พบได้ในช่วง 2 ถึง 3 สัปดาห์แรก ของการกินยา หากคงอยู่นานแนะนำให้ปรึกษาแพทย์
โดยรวมแล้วพบว่าอาการข้างเคียงที่สำคัญ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง ท้องเสีย เบื่ออาหาร ปากแห้ง ปวดหัว นอนไม่หลับหรือง่วงซึม เหงื่อออก กระสับกระส่าย สมรรถภาพทางเพศแย่ลง หรืออาจทำให้เกิดอาการ สับสน มือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก เดินเซ เหงื่อแตก และท้องเสีย ควรหยุดยาและพบแพทย์ทันที ในระหว่างการรักษาอาจมีความคิดฆ่าตัวตายเกิดขึ้น ควรปรึกษาแพทย์โดยด่วน
นอกจากนี้ ควรระมัดระวังการใช้ยาในกลุ่ม SSRIs และ SNRIs ร่วมกับยาอื่น โดยเฉพาะการได้ร่วมกับยาที่มีผลระดับ serotonin เช่น การได้ SSRI, SNRI ร่วมกัน หรือการได้ร่วมกับยากลุ่ม MAOIs ส่งผลให้เกิดภาวะ serotonin syndrome ส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้
ทั้งนี้ ผลข้างเคียงยาซึมเศร้าที่พบได้มักจะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของการกินยา แล้วอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันตามกลุ่มยาปรับสารเคมีในสมอง ดังนั้น ไม่ควรหยุดยาหรือลดยาเอง แนะนำให้กินยาต่อเนื่องสม่ำเสมอ และมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามการรักษา สำหรับยาบางตัวที่ทำให้มีอาการง่วง ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ การทำงานกับเครื่องจักรกลที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ขณะใช้ยา