svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ

ล้วงความลับ "สับปะรด" ผลไม้ทรอปิคอล กินอย่างไรให้ลดอ้วน ชะลอวัย ไกลเบาหวาน

19 กุมภาพันธ์ 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ส่องประโยชน์ของ “สับปะรด” ที่เราอาจไม่รู้มาก่อน ทั้งเรื่องสารอาหาร การมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก ชะลอชราตามเวชศาสตร์ชะลอวัย แล้วต้องกินส่วนไหน กินเท่าไหร่ หรือกินตอนไหนให้ได้ประโยชน์มากที่สุด มาดูไปพร้อมกัน

ยกให้เป็นผลไม้เมืองร้อนที่ประโยชน์เยอะเหมือนที่มีตารอบตัว สำหรับ “สับปะรด” ผลไม้ที่มีรสหวานปานกลาง มีคุณค่าทางโภชนาการหลากหลาย อุดมด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม มีไฟเบอร์สูง มีเอนไซม์ “โบรมีเลน” และสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิด “โรคมะเร็ง“

ล้วงความลับ \"สับปะรด\" ผลไม้ทรอปิคอล กินอย่างไรให้ลดอ้วน ชะลอวัย ไกลเบาหวาน

นอกจากรสชาติหวานซ่อนเปรี้ยว และการให้ความรู้สึกสดชื่นจากความชุ่มฉ่ำแล้ว “สับปะรด” ยังมาในราคาสบายกระเป๋าชนิดที่ซื้อกินได้ทุกวัน ทว่าทุกอย่างมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย เพราะด้วยความหวานฉ่ำของเนื้อสับปะรด ทำให้ต้องรู้ลิมิตในการกินเพื่อไม่ให้ร่างกายต้องได้รับน้ำตาลมากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อ “ผู้ป่วยโรคเบาหวาน”

 

ข้อมูลด้านโภชนาการของ” สับปะรด”

ในสับปะรด 100 กรัม (1 ขีด) ให้พลังงาน 50 kCal มีส่วนประกอบ ดังนี้

สารอาหารหลัก (Macronutrient) 

  • คาร์โบไฮเดรต 94%
  • ไขมัน 2%
  • โปรตีน 4%
  • กากใยอาหาร 1.4 กรัม
  • น้ำตาล 9.8 กรัม
  • กรดไขมันโอเมก้า 3 17 มิลลิกรัม
  • กรดไขมันโอเมก้า 6 23 มิลลิกรัม

 

สารอาหารรอง (Micronutrient)

  • มีวิตามินซี 47.8 มิลลิกรัม
  • มีวิตามินบีหก 0.1 มิลลิกรัม
  • มีไธอะมิน 0.1 มิลลิกรัม
  • มีโฟเลท 18 ไมโครกรัม
  • มีวิตามินเค 0.7 ไมโครกรัม
  • มีวิตามินเอ 58 หน่วยวัดมาตรฐานสากล
  • มีแคลเซียม 13 มิลลิกรัม
  • มีเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม
  • มีแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม
  • มีโพแทสเซียม 109 มิลลิกรัม
  • มีฟอสฟอรัส 0.8 มิลลกรัม
  • มีโซเดียม 1 มิลลิกรัม
  • มีสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม
  • มีแมงกานีส 0.9 มิลลิกรัม
  • มีเซเลเนียม 0.1 ไมโครกรัม

เอนไซม์ “โบรมีเลน” (Bromelein) สารสำคัญที่มีในสับปะรด

“โบรมีเลน” คือเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่พบมากบริเวณแกนของสับปะรดและในเนื้ออีกเล็กน้อย มีฤทธิ์ช่วยย่อยโปรตีนและยังมีประโยชน์อื่นๆ กับร่างกายอีก เช่น ช่วยลดอาการไซนัสอักเสบ ช่วยต่อต้านการอักเสบ ช่วยทำให้อาการของข้อเข่าเสื่อมดีขึ้น ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ช่วยลดไขมันส่วนเกิน ช่วยชะลอการเกิดลิ่มเลือด

ประโยชน์ของ “สับปะรด” ที่เราอาจไม่รู้มาก่อน

1.สับปะรด ผลไม้วิตามินซีสูง

นักโภชนาการด้านการทำอาหารในเมืองนิวยอร์ก Jackie Newgent และเจ้าของหนังสือ The All-Natural Diabetes Cookbook เผยว่าสารอาหารที่โดดเด่นในสับปะรดคือ วิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ และสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว

2. สับปะรด ผลไม้ที่ช่วยเรื่องการย่อย

ในสับปะรดมีกลุ่มเอนไซม์ย่อยอาหารที่เรียกว่า “โบรมีเลน” ทำหน้าที่สร้างกรดอะมิโนและเปปไทด์ขนาดเล็ก ที่ช่วยย่อยโปรตีน และให้ดูดซึมผ่านลำไส้เล็กได้สะดวกยิ่งขึ้น แถมยังมีแมงกานีสสูง ซึ่งช่วยเผาผลาญอาหาร ทำให้เลือดแข็งตัว และช่วยให้กระดูกแข็งแรง

3. สับปะรด ตัวช่วยของคนลดน้ำหนัก

มีการศึกษาพบว่า น้ำสับปะรดช่วยลดการสร้างไขมันและเพิ่มการสลายไขมันได้ มีแคลอรีต่ำ มีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญสูง Colleen Christensen นักโภชนาการในมิชิแกน ระบุวว่าในสับปะรดนั้นเต็มไปด้วยไฟเบอร์ที่สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้เรารู้สึกอิ่มนาน

4. สับปะรด ช่วยต้านการอักเสบ

โบรมีเลนในสับปะรด เป็นเอนไซม์ย่อยอาหารที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและบรรเทาอาการปวด ช่วยลดอัตราการเกิดโรคไซนัสอักเสบ โรคข้อเข่าเสื่อม ทั้งยังบรรเทาอาการขาแพลง หรือแผลไหม้ นอกจากนี้วิตามินซีในสับปะรดยังเป็นยาต้านการอักเสบอ่อนๆ อีกด้วย

5. สับปะรด ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

มีการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า สับปะรดมีสารประกอบ “โบรมีเลน” ที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็ง ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งในผิวหนัง ท่อน้ำดี ระบบย่อยอาหาร และลำไส้ใหญ่ เนื่องจากมีคุณสมบัติลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น และลดการอักเสบได้ นอกจากนั้นยังกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ผลิตโมเลกุลที่ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวมีประสิทธิภาพมากขึ้น

6. สับปะรด ช่วยให้กระดูกแข็งแรง

ตามรายงานของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ พบว่าสับปะรดเป็นหนึ่งในแหล่งอาหารชั้นนำของแร่ธาตุ (แมงกานีส) ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนและช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก และแร่ธาตุ เสริมกระดูกของคุณให้สตรองมากยิ่งขึ้น

7. สับปะรด ช่วยลดความเครียด

สับปะรดมีเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งมีคุณสมบัติลดความเครียด ช่วยให้ฮอร์โมนและเส้นประสาทของคุณผ่อนคลาย การดื่มน้ำสับปะรดในวันที่เรารู้สึกวิตกกังวลจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

8. สับปะรด ช่วยเรื่องความดันโลหิต

การบริโภคผักและผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น สับปะรด สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ ผลจากการสำรวจของ National Health and Nutrition Examination Survey

9. สับปะรด ช่วยเรื่องการบำรุงผิว

ในสับปะรดมีวิตามินซีสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ต่อสู้กับความเสียหายของผิวที่เกิดจากแสงแดด และมลภาวะต่างๆ สร้างคอลลาเจน และลดเลือนริ้วรอย

10.สับปะรด ช่วยให้เหงือกแข็งแรง

สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูง ที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

11.สับปะรด ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี

สับปะรดมีสารแอนติออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต

12.สับปะรด มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา

การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่าน้ำคั้นจากสับปะรดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างอ่อน มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ และยับยั้งการเกิดมะเร็ง เอนไซม์โบรอมีเลนมีฤทธิ์ย่อยโปรตีน ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ต้านหวัด ต้านมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ช่วยย่อยอาหาร และมีฤทธิ์ลดอาการบวมและการอักเสบ การทดสอบทางคลินิกในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่าโดยให้ผู้ป่วยรับประทานยาเม็ดที่มีเอนไซม์โบรมีเลนขนาด 200 และ 400 มก./วัน พบว่าผู้ป่วยมีอาการปวดลดลง ปัจจุบันมีการพัฒนาเอนไซม์โบรมีเลนเป็นยาแผนปัจจุบัน เช่น ยาช่วยย่อย และยารักษาอาการอักเสบและบวมของเนื้อเยื่อ

 

ล้วงความลับ \"สับปะรด\" ผลไม้ทรอปิคอล กินอย่างไรให้ลดอ้วน ชะลอวัย ไกลเบาหวาน

สับปะรด กินอย่างไรให้หุ่นดี ชะลอวัย ไกลเบาหวาน

สับปะรด กินส่วนไหนดี

ให้เลือกกินทั้งเนื้อสับปะรดและแกนสับปะรดในสัดส่วนเท่ากัน กินสับปะรด 1 ชิ้น กินแกนสับปะรด 1 ชิ้น เพราะในแกนมีกากใยอาหารและโบรมีเลนมากกว่า

สับปะรด กินแบบไหนดี

ให้เลือกกินสับปะรดแบบสด หลีกเลี่ยงน้ำสับปะรดหรือแบบคั้นแยกกาก เพราะเราไม่รู้ว่าร้านค้าใส่ส่วนไหนมาให้เรากินบ้าง เติมอะไรมาให้เราบ้าง และที่สำคัญเราต้องการกากใยในการกินด้วย

สับปะรด กินเท่าไหร่ดี

ให้เลือกกิน 1 ชิ้นใหญ่ หรือประมาณ 6 ชิ้นคำต่อวัน เพราะสับปะรด 1 ชิ้น หรือ 100 กรัม ถึงแม้จะมีแคลลอรีต่ำ แค่ 50 แคล แต่มีน้ำตาล 9.8 กรัม ถ้าเราใส่ใจแค่อ้วนหรือไม่อ้วน เราจะกินเท่าไหร่ก็ได้เพราะแคลอรีน้อย แต่ถ้าเราอยากดูดีด้วยห่างไกลโรคด้วย เราต้องรู้อะไรที่มากกว่านั้น

สับปะรด กินตอนไหนดี

ให้เลือกกินสับปะรด “พร้อมมื้ออาหาร” หรือ “หลังมื้ออาหารทันที” เพราะเอนไซม์โพรมีเลนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร ซึ่งการรับประทานสับปะรดอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองเล็กน้อยภายในปาก ริมฝีปาก และลิ้นได้ และแม้ว่าในขณะนี้จะยังไม่มีการรายงานความเป็นพิษจากการใช้ในรูปแบบของอาหาร แต่ไม่ควรรับประทานในขณะท้องว่าง เนื่องจากสับปะรดมีความเป็นกรดและมีเอนไซม์โบรมีเลนหากรับประทานขณะท้องว่างจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารได้ สำหรับผู้ที่แพ้พืชในตระกูลเดียวกับสับปะรดควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน

ล้วงความลับ \"สับปะรด\" ผลไม้ทรอปิคอล กินอย่างไรให้ลดอ้วน ชะลอวัย ไกลเบาหวาน

ข้อแนะนำและข้อควรระวังในการกินสับปะรด

  • สับปะรดมีความเป็นกรด และมีเอนไซม์บรอมมีเลนสูง ไม่ควรรับประทานตอนท้องว่าง
  • การทานสับปะรดในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองภายในปาก ริมฝีปาก และลิ้นได้
  • ไม่ควรกินสับปะรดเยอะในปริมาณมากเกินไป เพราะมีน้ำตาลสูง
  • สตรีมีครรภ์ในระยะเริ่มต้น ไม่ควรรับประทานผลดิบสับปะรดมากเกินไปเพราะอาจทำให้แท้งได้ เนื่องจากผลดิบสับปะรด สรรพคุณช่วยขับประจำเดือน
  • ระมัดระวังปริมาณ “น้ำตาล” นผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไม่ควรกินเป็นของว่าง ควรกินพร้อมมื้ออาหาร ในปริมาณ 1-2 ชิ้น

 

logoline