svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

“ปื้นดำที่คอ” อาจไม่ใช่แค่ขี้ไคล แต่เป็นสัญญาณเตือน “โรคเบาหวานในเด็ก”

รู้หรือไม่? เด็กไทยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 อายุเฉลี่ยที่ 12 ปี พบในเด็กอายุน้อยที่สุดเพียง 7 ปี ชี้สัญญาณเตือน “โรคเบาหวานในเด็ก” กินเก่ง หิวบ่อย แต่น้ำหนักตัวลด มีปื้นดำหนาที่คอ รักแร้ ขาหนีบ ซึ่งขัดถูไม่ออก แนะสร้างสามเหลี่ยมสมดุล “วิ่งเล่น-กินดี-นอนพอ”

อุบัติการณ์โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็กไทยในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา พบทั้งในเด็กและวัยรุ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เผยสัมพันธ์โดยตรงกับการพบเด็กอ้วนเพิ่มขึ้น ที่น่าตกใจคือมีรายงานเด็กไทยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 อายุเฉลี่ยที่ 12 ปี พบในเด็กอายุน้อยที่สุดเพียง 7 ปี!!

“ปื้นดำที่คอ” อาจไม่ใช่แค่ขี้ไคล แต่เป็นสัญญาณเตือน “โรคเบาหวานในเด็ก”

โรคเบาหวานในเด็ก

เบาหวานในเด็กมีหลายชนิดเหมือนในผู้ใหญ่ เบาหวานที่พบบ่อยในเด็กจะเป็น “เบาหวานชนิดที่ 1” รองลงมาคือ “เบาหวานชนิดที่ 2”

เด็กที่เป็น "เบาหวานชนิดที่ 1" เป็นได้ตั้งแต่อายุยังน้อยตั้งแต่ 1 ขวบ 2 ขวบ ก็สามารถเป็นได้แล้ว สาเหตุเกิดจากการที่เซลล์ตับอ่อนที่เรียกว่า เบต้าเซลล์ ถูกทำลาย จึงทำให้ร่างกายของเด็กไม่สามารถผลิตฮอร์โมนที่ชื่อว่า “อินซูลิน” ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมระดับน้ำตาล เพราะฉะนั้นเด็กก็จะมีภาวะน้ำตาลสูง และอาจเกิดภาวะเลือดเป็นกรด

สำหรับ "เบาหวานชนิดที่ 2" ส่วนใหญ่นั้นจะเจอในผู้ใหญ่ แต่ในปัจจุบันจะเห็นว่าเด็กอ้วนมีมากขึ้น เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นกรรมพันธุ์ด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็เกิดจากการดำรงชีวิตประจำวัน ถ้าเด็กบริโภคมากเกินไป กินน้ำตาลเยอะ ก็จะเกิดภาวะอ้วน นี่คือการสร้างความ “ดื้อต่ออินซูลิน” ที่เป็นฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาล สำหรับภาวะดื้ออินซูลินก็คือ การที่มีฮอร์โมนอินซูลินทำหน้าที่ได้ไม่ดี ดังนั้น ก็เหมือนกับการขาดอินซูลิน ที่เป็นตัวควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย

อาการของเด็กที่เป็นโรคเบาหวาน

อาการของโรคเบาหวานเกิดจากการที่มีระดับน้ำตาลสูงในเลือด น้ำตาลจึงรั่วออกมาในปัสสาวะ พร้อมกับทำให้ปัสสาวะมากเพราะน้ำตาลนำน้ำออกมาด้วย เด็กบางรายมีปัสสาวะรดที่นอนทั้งที่เคยหายไปแล้ว เมื่อร่างกายเสียน้ำมากจึงมีอาการกระหายน้ำมากผิดปกติ และถึงแม้จะมีระดับน้ำตาลสูงในเลือดแต่ร่างกายขาดอินซูลิน จึงนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย กินเก่ง หิวบ่อย แต่น้ำหนักตัวลด และหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา จะทำให้เลือดเป็นกรดและมีสารคีโทนคั่ง ที่เรียกว่า ดี เค เอ (DKA,  diabetic   ketoacidosis) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาทันที เด็กจะมีอาการอาเจียน ปวดท้อง หายใจหอบลึก ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้จากสารคีโทน ถ้าเป็นรุนแรงอาจหมดสติหรือโคม่าได้ อาการเหล่านี้พบได้ทั้งในเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2

แต่เบาหวานชนิดที่ 2 มักพบในเด็กและวัยรุ่นที่อ้วนหรือน้ำหนักเกิน ส่วนใหญ่มักเริ่มมีอาการในระยะที่เริ่มเป็นหนุ่มสาวแล้ว ประมาณร้อยละ 50-75 ของผู้ป่วยจะมีพ่อหรือแม่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เกือบร้อยละ 90 ของผู้ป่วยจะมีญาติใกล้ชิดเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งนอกจากความอ้วนแล้ว ผู้ป่วยเด็กเบาหวานชนิดที่ 2 มักมีปื้นดำหนาที่คอ รักแร้ ขาหนีบ  ซึ่งขัดถูไม่ออก บางรายอาจมีการติดเชื้อราร่วมด้วย เช่น ที่ช่องคลอด ผิวหนัง ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยสังเกตว่าเด็กน้ำหนักลด นอกจากนี้ ยังพบผู้ป่วยบางรายที่ยังไม่มีอาการ แต่ตรวจพบจากการตรวจสุขภาพทั่วไปหรือมาปรึกษาแพทย์เรื่องอ้วนและแพทย์ทำการตรวจเลือดแล้วพบน้ำตาลสูงในเลือด นอกจากนี้ในเด็กอ้วนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 อาจมีความผิดปกติของระบบอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความดันเลือดสูง ไขมันสูงในเลือด นอนกรน ปวดข้อ ไขมันเกาะที่ตับ ประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ  เป็นต้น

“ปื้นดำที่คอ” อาจไม่ใช่แค่ขี้ไคล แต่เป็นสัญญาณเตือน “โรคเบาหวานในเด็ก”

รู้จัก Acanthosis Nigricans ภาวะที่ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีคล้ำและผิวหนามากกว่าปกติ

Acanthosis Nigricans (อะแคนโทสิส นิกริแคนส์) เป็นภาวะที่ผิวหนังโดยเฉพาะบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ มีการเปลี่ยนเป็นสีคล้ำและผิวหนามากกว่าปกติ ส่วนใหญ่จะเกิดในคนอ้วน และคนที่มีอินซูลินในร่างกายสูง หรือเสี่ยงจะเป็นเบาหวาน หรือกำลังเป็นเบาหวานอยู่ก็ได้

ภาวะ Acanthosis Nigricans มักจะพบในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งจะมี “อินซูลิน” มาก ทำให้มีการกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังมีการเจริญมาก และยังพบในบางคนที่เกิดจากการกินยารักษาโรคไทรอยด์ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาที่ช่วยลดผลข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัด โกรทฮอร์โมน และวิตามินบี 3 ในปริมาณมาก หรืออาจจะมีสาเหตุมาจากโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับ สำหรับปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นที่อาจกระตุ้นให้เกิดรอยคล้ำนี้ ได้แก่ โรคอ้วน พันธุกรรม เชื้อชาติ เอาเป็นว่าถ้าใครมีรอยคล้ำแบบนี้ ไปปรึกษาหมอดีกว่า

ความแตกต่างระหว่าง “เบาหวานในเด็ก” และ “เบาหวานในผู้ใหญ่”

โรคเบาหวานในเด็กและวัยรุ่นมีความคล้ายคลึงกับโรคเบาหวานในผู้ใหญ่ แต่ก็มีความแตกต่างกัน ดังนี้

  • ชนิดของเบาหวาน ส่วนมากเบาหวานที่พบในเด็กจะเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 แต่ในผู้ใหญ่จะพบชนิดที่ 2 ได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพบเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็กเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการที่พบเด็กอ้วนเพิ่มขึ้น
  • การดูแลรักษา เนื่องจากเด็กและวัยรุ่นเป็นวัยที่ยังมีการเติบโต และช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้าน ทั้งอารมณ์ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย และฮอร์โมนต่าง ๆ รวมทั้งยังอยู่ในช่วงวัยเรียน มีคนรอบข้างที่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลรักษา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ครู และเพื่อน รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ด้านต่าง ๆ ฉะนั้น การดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กจึงมีความละเอียดซับซ้อนมาก
  • ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน ถ้าเริ่มเป็นเบาหวานตั้งแต่เด็ก โอกาสที่จะพบภาวะแทรกซ้อนในอนาคตก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี

 

แนวทางการป้องกันโรคเบาหวานในเด็ก

เบาหวานชนิดที่ 1 ในเด็กยังไม่สามารถป้องกันได้ เพราะเป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้นกันในร่างกายบกพร่อง (Autoimmune) กล่าวคือ ภูมิของตัวเองไปทำลายตับอ่อน ที่เรียกว่า Beta Cells (เบต้าเซล์) ที่ผลิตอินซูลิน คล้ายกับแพ้ภูมิตัวเอง และในเบาหวานชนิดที่ 2 นั้นไม่สามารถรักษาให้หายได้แต่สามารถป้องกันได้ สาเหตุการเกิดจะไม่เหมือนกับเบาหวานชนิดที่ 1 ดังที่กล่าวไปข้างต้น

สำหรับแนวทางการป้องกันเบาหวานชนิดที่  2 ได้แก่

1.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคโดย ควบคุมอาหาร ไม่ทานของหวาน มัน เค็ม

2.การออกกำลังกาย ที่ส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลงจะทำให้ ภาวะดื้ออินซูลินลดลง ทั้งนี้เป็นการลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

“ปื้นดำที่คอ” อาจไม่ใช่แค่ขี้ไคล แต่เป็นสัญญาณเตือน “โรคเบาหวานในเด็ก”

ทั้งนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่าเด็กไทยส่วนหนึ่งมีภาวะไม่สมดุล ทั้งร่างกาย พัฒนาการ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโต และสุขภาพในอนาคต ดังนั้น การสร้างเสริมสุขภาพตั้งแต่วัยเด็กจึงมีความสำคัญ โดยองค์ประกอบหลักนั้น ประกอบด้วย ทั้งเรื่องกิจกรรมทางกาย การกิน และการนอนที่เพียงพอ และมีคุณภาพ ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันในรูปแบบ "สามเหลี่ยมสมดุล"

                1.  วิ่งเล่น (Physical Activity) อย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน เป็นกิจกรรมทางกายระดับปานกลางขึ้นไป/ออกกำลังกาย

                2. กินดี (HealthyEating) ตามสัดส่วนจานอาหารสุขภาพ + (น้ำเปล่า เพิ่มนมจืด และผลไม้)

                3. นอนพอ (Sleep Hygiene) 9-12 ชั่วโมงต่อวัน +เข้านอนแต่หัวค่ำ (ประมาณ 3 ทุ่ม)