
ในช่วงเทศกาลวันฮาโลวีน “ฟักทอง (Pumpkin)” มักถูกนำมาประดับตกแต่งตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เข้ากับเทศกาล ในแง่ของสุขภาพ “ฟักทอง” จัดเป็นของที่มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการอย่างมาก ทั้งยังมีสรรพคุณทางยา หากมองในด้านของการใช้ประโยชน์ “ฟักทอง” ถูกใช้ทั้งในรูปแบบของการเป็นผักและผลไม้ ใช้ทำอาหารแกง ผัด นึ่ง ย่าง สลัด ตลอดจนขนมหวาน เบเกอรี่ และเครื่องดื่ม นับเป็นหนึ่งในพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและตอบโจทย์คนรักสุขภาพ
พลังงานและสารอาหารจาก “ฟักทอง”
ฟักทองในปริมาณ 100 กรัม มีพลังงานทั้งหมด 26 กิโลแคลอรี่, โปรตีน 1 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 6.5 กรัม, ไขมัน 0.1 กรัม
สีเหลืองน่ารับประทานของฟักทอง ยังประกอบด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินอี วิตามินซี วิตามินเค เบต้าแคโรทีน ฟอสฟอรัส แคลเซียม โพแทสเซียม โซเดียม แมงกานีส ธาตุเหล็ก ซิงค์ และแร่ธาตุอื่นๆ อีกมากมาย เข่น เกลือโซเดียม คอเลสเตอรอล ไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว น้ำตาล กากใยอาหาร ฯลฯ
ดีกับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากฟักทองเป็นพืชที่ไขมันน้อย น้ำตาลน้อย ให้พลังงานต่ำ (26 กิโลแคลอรี่/100 กรัม) ทำให้กินแล้วอยู่ท้องอิ่มนาน และยังเต็มไปด้วยกากใยอาหารซึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ลดความอยากอาหาร นับเป็นพืชที่ให้พลังงานต่ำซึ่งอาจขัดกับความคิดของหลายคน แต่จากการวิจัยเทียบกับพืชชนิดอื่นถือว่าให้พลังงานต่ำ มีไขมันน้อย จึงเหมาะแก่คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แต่จะต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลและครีมที่เติมเข้าไปด้วย
ดีต่อกระเพาะอาหาร คาร์โบไฮเดรตในฟักทองช่วยรักษาและบรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้ในส่วนบนได้ด้วย สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะสามารถนำฟักทองนึ่งแล้วทาน จะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องให้เบาบางแบบไม่ต้องพึ่งยาเลยทีเดียว
ต้านอนุมูลอิสระ ในฟักทองอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินอี ส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้
บำรุงสายตา ฟักทองเต็มไปด้วยวิตามินเอ ที่มาจากสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดสีเหลืองในฟักทอง โดยมีส่วนช่วยบำรุงสายตา และป้องกันกันโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ตาบอดกลางคืน นอกจากนี้ยังมีลูทีน และซีแซนทีน ช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตาจากอายุที่มากขึ้น เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อม และต้อกระจก รวมถึงยังมีวิตามินซีและวิตามินอีที่ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระที่มาทำร้ายดวงตา
เสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย นอกจากวิตามินเอในฟักทองจะช่วยบำรุงสายตาแล้ว ยังมีบทบาทในการผลิตและการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวหรือระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ดียิ่งขึ้น และวิตามินซีเองอาจช่วยบรรเทาอาการจากหวัดได้ด้วย
บำรุงเลือด แร่ธาตุที่สำคัญต่อระบบเลือดอย่าง ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม สังกะสี และแมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีในฟักทอง ทำให้ฟักทองมีประโยชน์ในการช่วยบำรุงเลือด
ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง มีผลวิจัยเกี่ยวหับอาหารทีสารเบต้าแคโรทีนสูง อย่างฟักทองว่าอาจช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งบางชนิดได้ เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งคอ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม เป็นต้น ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีผลวิจัยอีกมากมายที่พบว่าฟักทองช่วยป้องกันโรคอื่นๆ อีก อย่างโรคหืดและโรคหัวใจ ไปจนถึงการเสริมสุขภาพเส้นผมให้แข็งแรงอีกด้วย
ผิวพรรณผ่องใส ในฟักทองมีคอลลาเจนตามธรรมชาติ ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังของเรา อีกทั้งยังมีวิตามินซี ที่ช่วยทำให้เรามีผิวพรรณที่สดใส ป้องกันการเกิดริ้วรอย
ดีกับผู้ป่วยโรคหอบหืด มีการวิจัยรายงานว่าฟักทองสามารถช่วยบรรเทาอาการหอบหืดที่เกิดจากหลอดลมอักเสบในผู้สูงอายุได้
มีฤทธิ์อุ่นดี ต่อสตรีหลังคลอดบุตร ตามตำราสมุนไพรไทยจัดฟักทองในกลุ่ม “มีฤทธิ์อุ่น” จะช่วยย่อยอาหารทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลังและลดการอักเสบแก้ปวดได้ดี
ดีต่อผู้ป่วยเบาหวาน มีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า ฟักทองมีส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มปริมาณอินซูลินที่ร่างกายผลิตได้ ซึ่งแน่นอนว่าฟักทองมีประโยชน์โดยตรงสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน การรับประทานฟักทองทั้งเปลือกจะสามรถกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารที่ควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย หากขาดสารดังกล่าวหรือการหลั่งอินซูลินผิดปกติจะทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้ การรับประทานทั้งเปลือกยัง สามรถควบคุมความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพได้อีกด้วย
บำรงุสุขภาพต่อมลูกหมาก ‘มะเร็งต่อมลูกหมาก’ เป็นมะเร็งชนิดที่พบบ่อยชนิดหนึ่งในเพศชาย มีการศึกษาในกลุ่มผู้ชายอเมริกันที่มีแนวโน้มจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก พบกว่ากลุ่มตัวอย่างเหล่านั้นมีปริมาณแร่ธาตุสังกะสีน้อยกว่ามากหากเทียบคนที่ต่อมลูกหมากปกติ ซึ่งฟักทองเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุดังกล่าว ซึ่งสามารถช่วยในการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้
กินฟักทองแล้วตัวเหลืองจริงหรือไม่ ?
คำตอบ คือเป็นเรื่องจริง เพราะฟักทองนั้นเป็นพืชที่มีสารเบต้าแคโรทีน ที่เป็นสารอาหารที่เป็นโปรวิตามิน หรือวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย เมื่อเบต้าแคโรทีนเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกเปลี่ยนให้เป็นวิตามินเอเพื่อใช้เป็นประโยชน์ต่อการบำรุงร่างกาย หากรับประทานพืชผักผลไม้กลุ่มนี้ในปริมาณที่มากๆ และเป็นประจำ เป็นระยะเวลานาน สารสีส้มสีเหลืองหรือสีส้มในกลุ่มเบต้าแคโรทีนนี้จะไปเกาะตามเม็ดสีผิว ทำให้สีผิวของคนเรานั้นเปลี่ยนไป มีสีเหลืองมากขึ้น มักเกิดขึ้นในบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า แต่ไม่ทำให้ตาเหลือง พบมากในเด็กเล็ก นอกจากฟักทองแล้วยังมี แครอท มะละกอ ลูกพีช ฯ ที่มีเบต้าแคโรทีนด้วย แต่ต้องกินในปริมากและกินต่อเนื่องเป็นเวลานาน ดังนั้น คนที่กินในอาหาร พร้อมกินอาหารอื่นๆ ที่หลากหลาย จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องยี้
ข้อควรระวังในการทาน “ฟักทอง”
เนื่องจาก “ฟักทอง” มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ “กระเพาะร้อน” คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน
ไอเดียเมนูฟักทอง