
ปลายฝนต้นหนาว และช่วงวันหยุดยาว สายแคมป์ปิ้ง คนรักผืนป่าได้เวลาปักเต็นท์ท่องไพรให้ธรรมชาติได้บำบัด แต่รู้ไหมว่าบรรดาสัตว์เล็กๆ และแมลงที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติอาจนำมาซึ่งอาการเจ็บป่วยหรือโรคภัยได้หากเราถูกกัด ซึ่งหนึ่งในโรคนั้นคือ “โรคไข้รากสาดใหญ่”
โรคไข้รากสาดใหญ่หรือ โรคสครับไทฟัส (Scrub typhus) เกิดจากการติดเชื้อจากบาดแผลที่ถูกตัวไรอ่อน ซึ่งเป็นพาหะของโรค ซึ่งตัวไรอ่อนมักจะอาศัยอยู่ตามใบไม้ใบหญ้า ใกล้กับพื้นดิน หากสัมผัสอาจเกาะตามเสื้อผ้าและกัดผิวหนังได้ และบริเวณที่ถูกกัดโดยส่วนใหญ่คือบริเวณใต้ร่มผ้า เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ ขาหนีบ เอว ลำตัวบริเวณใต้ราวนม รักแร้ และคอ ซึ่งเราจะมองไม่เห็นตัวไรอ่อน เพราะมีขนาดเล็กมากราว 1 มิลลิเมตรเท่านั้น
เมื่อไรอ่อนกัดคนจะปล่อยเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มริกเก็ตเซีย (Rickettsia) มีระยะฟักตัวประมาณ 6-21 วัน แต่โดยทั่วไปจะอยู่ในประมาณ 10-12 วัน โดยอาการที่สำคัญ ได้แก่ ปวดศีรษะอย่างรุนแรงบริเวณขมับและหน้าผาก ตัวร้อนจัด มีไข้สูง 40-40.5 องศาเซลเซียส หนาวสั่น เพลีย ปวดเมื่อยตัว ปวดกระบอกตา มีอาการไอแห้งๆ ไต ตับ ม้ามโต และผู้ป่วยร้อยละ 30-40 จะพบแผลคล้ายบุหรี่จี้ตรงบริเวณที่ถูกไรอ่อนกัด มีสีแดงคล้ำ เป็นรอยบุ๋ม แต่ไม่ปวดและไม่คัน เป็นลักษณะเฉพาะของโรค ผู้ป่วยบางรายอาจหายได้เอง ส่วนผู้ป่วยประมาณร้อยละ 20-50 อาจจะมีอาการแทรกซ้อนได้ เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วมาก ความดันโลหิตต่ำ ช็อก และเสียชีวิตได้
ข้อมูลโดย นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ของโรคติดเชื้อริกเก็ตเซียในประเทศไทย พบโรคสครับไทฟัสได้มากกว่าโรคมิวรีนไทฟัส โดยตรวจพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่มีการท่องเที่ยวป่าภูเขา หรือเป็นช่วงที่มีการกระจายของพาหะของโรค ได้แก่ ไรอ่อน ตามพื้นที่ทางการเกษตร หรือปศุสัตว์ ทั้งนี้จากแนวโน้มการส่งตัวอย่างตรวจที่ยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อริกเก็ตเซียของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขได้พัฒนาการผลิตชุดตรวจโรคติดเชื้อริกเก็ตเซียขึ้นเอง จากการเพาะเลี้ยงเชื้อริกเก็ตเซีย สำหรับงานบริการตรวจวิเคราะห์ เพื่อให้เพียงพอ และรองรับการตรวจวิเคราะห์ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งสามารถผลิต ชุดตรวจสนับสนุนให้กับห้องปฏิบัติการเครือข่าย และจำหน่ายให้กับห้องปฏิบัติการเอกชน หรือมหาวิทยาลัย ให้สามารถตรวจได้รวดเร็ว เพื่อการรักษาได้ทันเวลา ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยในกลุ่มไข้ไม่ทราบสาเหตุ และช่วยวินิจฉัยได้ถูกต้อง แม่นยำ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อริกเก็ตเซีย ด้วยวิธี เรียลไทม์ พีซีอาร์ (Real time RT-PCR) ซึ่งมีความไวความจำเพาะสูง เพื่อเตรียมความพร้อมกับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
“สำหรับประชาชนที่เดินทางท่องเที่ยวตั้งแคมป์กางเต็นท์ นอนในป่า หรือไปทำมาหากินในพื้นที่เกษตรกรรมควรสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด เช่น เสื้อที่ปิดคอ เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และทายากันยุง ส่วนที่อยู่นอกร่มผ้าให้ทาโลชั่นกันยุงที่มีส่วนผสมของสาร diethyltoluamide (DEET) ซึ่งจะสามารถป้องกันตัวไรอ่อนกัดได้เช่นกัน หลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณที่มีตัวไรอ่อนชุกชุม ไม่ว่าจะเป็นป่าโปร่ง ป่าละเมาะ บริเวณที่มีการปลูกป่าใหม่หรือตั้งรกรากใหม่ ทุ่งหญ้า ชายป่า หรือบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง และหลังออกจากป่าให้อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย สระผม และนำเสื้อผ้าที่สวมใส่มาซักให้สะอาด เพราะอาจมีตัวไรอ่อนติดมากับร่างกายหรือเสื้อผ้าได้ ทั้งนี้หากไปเที่ยวป่าเขากลับมาแล้วมีอาการไข้ หรืออาการข้างต้นภายใน 2 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเข้าป่าให้แพทย์ทราบ เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว ช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้” นายแพทย์ยงยศ กล่าวทิ้งท้าย
กลุ่มเสี่ยง “โรคไข้รากสาดใหญ่”
แนวทางการป้องกัน “โรคไข้รากสาดใหญ่”
โรคไข้รากสาดใหญ่จะยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ดังนั้น การป้องกันความเสี่ยงของการติดเชื้อ คือการเลี่ยงการสัมผัสหรือถูกตัวไรอ่อนกัด ซึ่งมีวิธีป้องกันดังนี้
1. ควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีพืชพรรณและพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยพุ่มไม้หรือต้นไม่ขนาดเล็ก เพราะเป็นที่ที่ตัวไรอ่อนชอบอาศัยอยู่
2. ใช้สารไล่แมลงที่มีส่วนประกอบของสาร DEEF 20-30% หรือสารที่ได้รับการรับรองว่าใช้สำหรับต่อต้านตัวไรอ่อน และหมั่นทาทุก 4-6 ชั่วโมง ทั้งแบบที่ใช้กับผิวหนังและเสื้อผ้า
3. สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด ให้เด็กสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนังอย่างมิดชิดทั้งแขนและขา หรือคลุมรถเข็นเด็ก เตียงนอนด้วยมุ้ง
4. หากต้องใช้ครีมหรือโลชั่นป้องกันแสงแดด ควรใช้กันแดดก่อนค่อยทาสารไล่แมลง
5. ทุกครั้งที่อาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า ควรสำรวจร่างกายตัวเองว่ามีผื่น แผลหรือแมลงเกาะตามตัวหรือไม่
6. หลังกลับจากการเดินป่า ควรอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย สระผม และนำเสื้อผ้าซักให้สะอาดด้วยผงซักฟอกเข้มข้น เพราะตัวไรอ่อนอาจติดมากับร่างกายหรือเสื้อผ้าได้
ดังนั้น หากท่องเที่ยวเดินป่าหรือตั้งแคมป์ กลับมาแล้วมีไข้ หรือมีอาการข้างต้น ภายใน 2 สัปดาห์ควรรีบพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเข้าป่าให้แพทย์ทราบ เพื่อรับการรักษาโดยเร็วสามารถช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้