svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ

รู้หรือไม่! ระหว่างกาแฟ vs ชาเขียว อะไรกระตุ้นให้ตื่นตัวมากกว่ากัน?

26 กรกฎาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ตัวเลือกเครื่องดื่มที่หลายคนสั่งเพื่อต้องการแรงกระตุ้น ระหว่าง "กาแฟ" กับ "ชาเขียว" แบบไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน?

ไม่ว่าจะช่วงเช้า สาย บ่าย เย็น หรือแม้แต่ในเวลากลางคืน เตรื่องดื่มที่สร้างแรงกระตุ้นให้ผู้ดื่นรู้สึกถึงความกระปรี้กระเปร่า และยังครองใจคนรักคาเฟอีน ต้องยกให้ “กาแฟ” กับ “ชาเขียว” ว่าแต่เจ้าสองสิ่งนี้มีความเหมือนความต่างอย่างไรในแง่มุมของสุขภาพ

รู้หรือไม่! ระหว่างกาแฟ vs ชาเขียว อะไรกระตุ้นให้ตื่นตัวมากกว่ากัน?

“คาเฟอีน” ในกาแฟ กับ ชาเขียว

หากวัดกันที่ปริมาณของคาเฟอีนในกาแฟและชาเขียว ด้วยปริมาณเครื่องดื่มที่เท่ากัน ใน “กาแฟ” จะมีปริมาณของคาเฟอีนที่มากกว่าชาเขียวถึง 3 เท่า โดยกาแฟ 240 มิลลิกรัม มีคาเฟอีนราว 96 มิลลิกรัม ในขณะที่ “ชาเขียว” ในปริมาณเท่ากันจะมีคาเฟอีนราว 29 มิลลิกรัม

สำหรับปริมาณคาเฟอีนที่เหมาะสมในแต่ละวัน ไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวันในวัยผู้ใหญ่, 100 มิลลิกรัมสำหรับวัยรุ่น  และ 2.5 มิลลิกรัมสำหรับเด็ก นั่นหมายความว่า หากชอบดื่มกาแฟก็ไม่ควรดื่มเกิน 4 แก้วต่อวัน ในขณะที่เราสามารถดื่มชาเขียวได้มากถึง 13 แก้วเลยทีเดียว แต่ต้องระวังเรื่องของน้ำตาล ครีมเทียม และไม่ควรดื่มมากขนาดนั้น

และด้วยความที่กาแฟมีคาเฟอีนเข้มข้นมากกว่า การดื่มกาแฟจึงอาจทำให้ร่างกายของเราตื่นตัวได้ในทันที ในเวลาอันรวดเร็ว แต่การดื่มชาเขียว หากจิบทีละเล็กละน้อยไปตลอดทั้งวัน ก็จะช่วยให้ร่างกายตื่นตัวได้ตลอดทั้งวันได้เช่นกัน

ความแตกต่างของการปลดปล่อยคาเฟอีนของกาแฟและชาเขียว

คาเฟอีน คือสารธรรมชาติที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้รู้สึกตื่นเต้น ร่างกายตื่นตัว ความดันเลือดสูง ชีพจรเต้นเร็ว และมีอัตราการหายใจที่เร็วขึ้น มากไปกว่านั้นยังมีฤทธิ์ทำให้ร่างกายผู้ดื่มเกิดการเสพติดได้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ health.usnews.com เคยให้ความรู้ในเรื่องความแตกต่างของการปลดปล่อยคาเฟอีนของกาแฟและชาเขียว โดยเฉพาะมัทฉะไว้ว่า

“กาแฟ” และ “ชาเขียว” มีการปลดปล่อยคาเฟอีนที่แตกต่างกัน กล่าวคือ การปลดปล่อยคาเฟอีนของ “กาแฟ“ เปรียบเสมือนการนั่งรถไฟเหาะ ที่ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกใจเต้นแรง และกระปรี้กระเปร่าอย่างรวดเร็ว ภายใน 1-3 ชั่วโมง

ในขณะที่การปลดปล่อยของคาเฟอีนใน “ชาเขียว” อย่างมัทฉะ จะให้พลังงานต่อเนื่องราว 4-6 ชั่วโมง ซึ่งทำให้ผู้ดื่มรู้สึกตื่นตัว ไม่ง่วงได้นานกว่า เป็นการปลดปล่อยคาเฟอีนอย่างช้าๆ ไม่ถึงขั้นทำให้ใจสั่น เป็นผลจากกรดอะมิโนแอล-ธีอะนีน การปลดปล่อยคาเฟอีนของชาเขียว จึงเสมือนการเดินเล่นริมหาดทรายที่ผ่อนคลายกว่า

รู้หรือไม่! ระหว่างกาแฟ vs ชาเขียว อะไรกระตุ้นให้ตื่นตัวมากกว่ากัน?

ข้อมูลงานวิจัยหลายชิ้นยังค้นพบว่า เครื่องดื่มชาเขียวมัทฉะนอกจากช่วยให้สมองตื่นตัวได้ดีแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในแง่ของการมีสาร antioxidant EGCG หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดการอักเสบของเซลล์ในร่างกาย ที่ส่งผลในการป้องกันมะเร็ง อีกทั้งมีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟ นั่นจึงไม่ก่อให้เกิดอาการถอนคาเฟอีน อีกทั้งชาเขียวจะค่อยๆ ปลดปล่อยคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ ทำให้สมองตื่นตัวและกระฉับกระเฉงได้ยาวนานกว่าคาเฟอีนในกาแฟ

และด้วยความที่ “กาแฟ” มีคาแฟอีนปริมาณมาก จึงช่วยให้สดชื่นและคลายความง่วงได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายจะดูดซับคาเฟอีนเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว 99% ซึ่งหมายความว่า หลังจากดื่มกาแฟไปเพียง 15-30 นาที คาเฟอีนในกาแฟจะไปปิดกั้นการทำงานของสารเคมีในสมองของเราที่ชื่อว่า “อะดีโนซีน” (มีหน้าที่ทำให้เรารู้สึกง่วงนอนและอ่อนล้า) เมื่อคาเฟอีนขัดขวางไม่ให้อะดีโนซีนทำงาน เราจึงรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าในแทบจะทันที และจะรู้สึกตื่นตัวไปอีก 2-3 ชั่วโมง

จากนั้นคาเฟอีนก็จะหมดฤทธิ์ลง ทำให้บางคนอาจกลับมาง่วงซึมอีกครั้ง จนต้องหากาแฟแก้วถัดไปมาดื่มอีก บางคนดื่มมากถึง 3-4 แก้วต่อวัน ซึ่งการได้รับปริมาณคาเฟอีนในปริมาณมากต่อวัน นั่นส่งผลให้เกิดอาการ “ถอนคาเฟอีน” เมื่อไม่ได้ดื่มหรือดื่มน้อยกว่าปกติ

ในทางกลับกัน “ชาเขียว” แม้จะให้สารคาเฟอีนในปริมาณที่น้อยกว่ากาแฟ แต่ก็ช่วยให้ผู้ดื่มกระปรี้กระเปร่าและสดชื่นได้เช่นกัน อีกทั้งการออกฤทธิ์ของคาเฟอีนในชาเขียวนั้น ยังเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากชาเขียวมัทฉะมีสาร แอล-ธีอะนีน (l-theanine) ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมคาเฟอีนได้ช้าลง

ดังนั้น แม้ผู้ดื่มชาเขียวมัทฉะจะไม่รู้สึกตื่นเต็มตาในทันที แต่ฤทธิ์ของคาเฟอีนจะยืนระยะไปได้นาน 4-6 ชั่วโมง ซึ่งทำให้สมองตื่นตัวได้นานกว่าการดื่มกาแฟ จึงไม่จำเป็นต้องดื่มชาเขียวหลายๆ แก้วต่อวัน อีกทั้ง แอล-ธีอะนีน ในชาเขียวช่วยลดความเครียด ช่วยต้านความวิตกกังวล และไม่ก่อให้เกิดอาการ “ถอนคาเฟอีน” ได้อีกด้วย

รู้หรือไม่! ระหว่างกาแฟ vs ชาเขียว อะไรกระตุ้นให้ตื่นตัวมากกว่ากัน?

คุณประโยชน์ของชา

ชาอัดแน่นไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญหลายชนิด  การดื่มชาเป็นประจำจึงมีส่วนในการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีได้

 ชาไม่ว่าจะเป็นชาเขียว ชาดำ หรือชาอู่หลง ต่างก็อุดมไปด้วยฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ผ่านการวิจัยว่ามีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และหลอดเลือดอุดตัน

ในใบชามีสารไทอามีน (Thiamine) และคาเฟอีน ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานและความตื่นตัวของสมอง

ชา โดยเฉพาะชาเขียว มีสาร EGCG ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีในกลุ่มของสารคาเทชิน (Catechin) จากผลการวิจัยพบว่า มีส่วนช่วยลดการอุดตันของหลอดเลือด ช่วยในการเผาผลาญไขมัน ลดความเครียด ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อระบบประสาทและสมองอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม นอกจากชาที่ทำมาจากใบชาแล้ว ก็ยังมีชาสมุนไพรอีกหลายชนิดที่มีรูปแบบและกรรมวิธีในการชงเช่นเดียวกับใบชา แต่เป็นชาที่ไม่ได้ทำมาจากใบชา เช่น ชาดอกกุหลาบ ชาดอกชบา ชาขิง ชาโสม ชาใบมินต์ ซึ่งชาเหล่านี้ก็จะมีสรรพคุณที่แตกต่างกันไปตามสมุนไพรแต่ละประเภท เพราะชาสมุนไพรบางชนิดมีคุณสมบัติสำคัญช่วยในการผ่อนคลาย ขณะที่ชาสมุนไพรบางชนิดมีส่วนช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น หรือชาสมุนไพรบางชนิดมีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

   รู้หรือไม่! ระหว่างกาแฟ vs ชาเขียว อะไรกระตุ้นให้ตื่นตัวมากกว่ากัน?

คุณประโยชน์ของกาแฟ

ในขณะที่ “ชาเขียว” โดดเด่นในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระ “กาแฟ” ก็โดดเด่นในเรื่องของคาเฟอีน ซึ่งแม้คาเฟอีนจะเป็นสารที่มักถูกแนะนำให้รับประทานในปริมาณที่พอดี เพราะถ้ารับประทานมากไปอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ อย่างไรก็ตาม การดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะก็มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพดีได้หลายประการ ดังนี้

ช่วยเพิ่มพลังงาน เนื่องจากกาแฟมีคาเฟอีนสูง ซึ่งมากพอที่จะไปขัดขวางสารสื่อประสาทชนิดยับยั้งที่มีส่วนลดการทำงานของเซลล์ประสาทและสมอง ขณะที่คาเฟอีนจะทำหน้าที่ตรงกันข้ามคือมีส่วนช่วยกระตุ้นสมอง ทำให้รู้สึกตื่นตัว เพิ่มพลังงานในการทำงานหรือทำกิจกรรม

ช่วยเผาผลาญไขมัน จากผลการวิจัยพบว่าสารคาเฟอีนที่มีอยู่มากในกาแฟ มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมันได้ประมาณ 3-10 เปอร์เซ็นต์

กาแฟมีกรดคลอโรคจีนิก (Chlorogenic acid หรือ CGA) ในปริมาณมาก จากผลการวิจัยพบว่า สารนี้มีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร และมะเร็งตับ

บทสรุป ระหว่าง “กาแฟ” กับ “ชาเขียว” เราควรดื่มอะไร?

เมื่อทั้งสองต่างก็เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมทั้งคู่ ดังนั้น หากจำเป็นจะต้องเลือกควรดูที่พื้นฐานสุขภาพของตนเองเป็นสำคัญ ถ้าหากเป็นผู้ที่มีอาการไวต่อคาเฟอีน การดื่มกาแฟอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่ากับการดื่มชาเขียว อย่างไรก็ตาม หากเป็นผู้ที่ไม่มีปัญหาต่อคาเฟอีน ก็สามารถที่จะดื่มได้ทั้งชาและกาแฟ โดยสามารถเลือกได้ตามความชอบหรือรสชาติที่ชื่นชอบ สิ่งสำคัญก็คือควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม และระมัดระวังเรื่องของน้ำตาล โดยเฉพาะผู้ที่ชอบดื่มชาและกาแฟชนิดหวาน เพราะอาจมีความเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้

 

 

 

logoline