องศาความฮอตของไทยไม่แผ่ว ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศล่วงหน้า 10 วัน ระหว่างวันที่ 1-10 เม.ย. 2567 เผยความกดอากาศต่ำ ความร้อนปกคลุมประเทศไทย ทำให้ทั่วไทยอากาศร้อนจัดมีโอกาสร้อนสูงสุดถึง 43 องศาเซลเซียส จากผลการประเมินมีโอกาสทุบสถิติฤดูร้อน ขณะที่นักวิชาการเตือนอนาคตคลื่นความร้อนประเทศไทยรุนแรงมากถ้าไม่ทำอะไร
ผลจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้การเปิดแอร์ หรือเครื่องปรับอากาศ เป็นทางออกแก้ร้อนที่คนส่วนใหญ่เลือกจะทำเพราะเห็นผลในทันที แต่ก็กระทบกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าการใช้พลังงานที่มากขึ้น ทำให้หลายบ้านกังวลเรื่อง "ค่าไฟ" ที่อาจพุ่งสูงตามการใช้งาน งานนี้ Nation Story ได้หาเทคนิคดีๆ ที่นอกจากจะช่วยประหยัดเงินได้แล้ว ยังเป็นการลดใช้พลังงานที่เกินความจำเป็นเพื่อโลกได้อีกด้วย
1.เปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 26 – 27 องศาเซลเซียส
อากาศร้อนอบอ้าวของประเทศไทย ทำให้คนส่วนใหญ่เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเปิดแอร์เพื่อช่วยคลายความร้อน ดังนั้น วิธีง่ายๆ ที่ช่วยประหยัดไฟ คือ ตั้งอุณหภูมิแอร์ที่ 26 – 27 องศาเซลเซียส ก็สามารถช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นถึง 10%
2.เลือกใช้พัดลมแทนเครื่องปรับอากาศ
หากอากาศไม่ร้อนมากจนเกินไปแนะนำให้ทุกคนหันมาใช้พัดลมแทนเครื่องปรับอากาศ เพราะพัดลมใช้พลังงานเพียง 1 ใน 60 ของเครื่องปรับอากาศ จึงช่วยประหยัดไฟฟ้าได้มากถึง 40 % ดังนั้นวิธีนี้จะช่วยทำให้ค่าไฟฟ้าในบ้านของคุณถูกลงอย่างแน่นอน
- หน้าร้อน ตั้งอุณหภูมิเท่าไหร่ดี?
- เปิดแอร์พร้อมพัดลมช่วยประหยัดไฟจริงหรือไม่?
สองปัญาคาใจที่ถูกไขคำตอบแล้ว!! หากคุณต้องการให้อุณหภูมิของห้องมีความเย็นที่ 25 องศา ควรตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 27 องศา และใช้วิธีการเปิดพัดลมช่วย จะทำให้คุณได้สัมผัสความเย็นตามที่คุณต้องการ แต่หากคุณตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 25 องศาและเปิดพัดลมช่วยทำความเย็น จะทำให้คุณรู้สึกหนาวเย็นราวกับปรับอุณหภูมิ 23 องศา ซึ่งอาจทำให้คุณหนาวจนเกินไปได้
ทั้งนี้ การเปิดแอร์ที่อุณหภูมิที่ 27 องศาเซลเซียส แอร์จะกินไฟน้อยกว่าการเปิดแอร์ที่อุณหภูมิต่ำ เพราะคอยล์ร้อนหรือคอมเพรสเซอร์ของแอร์จะทำงานน้อยลงทำให้แอร์กินไฟน้อยลง ขณะที่การเปิดพัดลมเป่าแบบส่ายจะช่วยให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นอีกจากกระแสลมที่มาปะทะตัว และทำให้การแลกเปลี่ยนความร้อน
3.ล้างแอร์ตามรอบเป็นประจำ
อีกเทคนิคประหยัดไฟคือการล้างแอร์ที่นอกจากช่วยยืดอายุการใช้งาน ซึ่งเครื่องปรับอากาศจะให้ความเย็นที่มีคุณภาพ ไม่มีฝุ่นเจือปน และไม่กินไฟเพราะไม่ต้องทำงานหนักนั่นเอง โดยคำแนะนำจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แนะนำให้ล้างแอร์เป็นประจำทุก 6 เดือน
4.เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ
สังเกตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ติดดาว ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและประหยัดไฟมากกว่าเดิมเมื่อเทียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่มีฉลากเบอร์ 5 ยิ่งดาวมากยิ่งประหยัดไฟมาก
5.เลือกใช้หลอดไฟ LED แทนหลอดไฟธรรมดา
หลอดไฟ LED ให้แสงสว่างมากกว่าหลอดไฟแบบธรรมดา แต่กินไฟน้อยกว่าและมีอายุการใช้งานที่นานกว่า อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าหลอดไฟธรรมดา เพราะไม่มีรังสียูวีที่สามารถทำร้ายผิวและไม่มีสารพิษในหลอดไฟอย่างพวกสารปรอทด้วย
6.ถอดปลั๊กและปิดสวิตช์เมื่อเลิกใช้งาน
การปิดสวิตช์ไฟแต่ยังเสียบปลั๊กทิ้งไว้ ทำให้กระแสไฟฟ้ายังคงไหลเวียนอยู่ ดังนั้นเมื่อเลิกใช้งานแล้วจึงควรปิดและถอดปลั๊กทุกครั้ง อีกทั้งวิธีนี้ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยภายในบ้านอีกด้วย
7.จัดระเบียบตู้เย็น
หน้าร้อนอาหารบูดเสียได้ง่าย ของมักเต็มตู้เย็น แนะนำให้จัดระเบียบตู้เย็นใหม่ให้โล่งขึ้น เพราะการที่ใส่ของในตู้เย็นจนแน่นจะทำให้ตู้เย็นทำงานหนัก นอกจากนี้ควรซื้อของเท่าที่จำเป็น คำนวณการซื้ออาหารไม่ให้เหลือทิ้งก็เป็นการลดขยะอาหาร (Food Waste) ลดภาระการกำจัด เซฟทั้งเงินตินซื้อ และช่วยโลกได้อีกทาง
8.ปลูกต้นไม้เพื่อปรับสภาพแวดล้อม
ต้นไม้ใหญ่ 1 ต้นจะมีความสามารถในการลดความร้อนให้กับสภาพแวดล้อมประมาณ 12.66 เมกะจูลต่อชั่วโมง หรือเทียบเท่ากับเครื่องปรับอากาศขนาด 1 ตันเลยทีเดียว หรือ 12,000 BTU จึงไม่แปลกใจเวลาที่เราอยู่ในบ้านที่มีต้นไม้ใหญ่ๆ แล้วจะรู้สึกเย็นสบาย แม้จะเป็นเวลากลางวันที่แดดร้อนและไม่ได้เปิดแอร์
การประหยัดไฟด้วยเทคนิคง่ายๆ และสามารถเริ่มต้นได้ที่ตัวเรา นอกจากทำให้หน้าร้อนนี้เย็นกายแล้ว ยังสบายกระเป๋า ค่าไฟฟ้าไม่บานปลายอย่างแน่นอน