การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสร้างผลกระทบใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสูญพันธ์ุของสิ่งมีชีวิต การแพร่ระบาดของโรคต่างๆ ไปจนถึงทำให้คนหลายล้านต้องสูญเสียที่อยู่อาศัย แต่ในชีวิตประจำวัน “ภาวะโลกร้อน” กำลังคืบคลานมากระทบกับสิ่งที่หลายคนโปรดปรานอย่าง “รสชาติของกาแฟ”
จะเป็นอย่างไร ถ้าความหอมกรุ่นของกาแฟแก้วโปรดไม่เป็นอย่างที่เคย?
เรื่องนี้งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontier จาก Tufts University และ Montana State University เผยว่า สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้พืชผลทั่วโลกได้รับผลกระทบจากอากาศที่เปลี่ยนไป แห้ง แล้ง หรือหนาวจัด ต่างจากเดิม หนึ่งในนั้นคือ “เมล็ดกาแฟ”
ทีมนักวิจัยได้มองหาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของกาแฟ จนได้ค้นพบว่าผลกระทบนั้นยิ่งใหญ่กว่านั้น เพราะกาแฟหนึ่งแก้วเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตมากมาย ตั้งแต่ความต้องการของผู้ซื้อ ราคากาแฟ รวมถึงคุณภาพชีวิตของเกษตกรผู้ปลูกกาแฟ โดยพวกเขายังบอกอีกว่าหากเราเข้าใจศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ เราอาจช่วยเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกาแฟเพื่อรับมือกับการผลิตที่ท้าทายในอนาคตได้
นักวิจัยยังระบุปัจจัย 2 ประการที่มีความเกี่ยวข้องกับคุณภาพของกาแฟมากที่สุด นั่นคือ กาแฟที่ปลูกในพื้นที่สูงกว่าจะมีรสชาติและกลิ่นหอมที่ดีกว่า ดังนั้น สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบได้ชัดเลยคือเรื่องของ "อุณหภูมิ" กาแฟที่ปลูกในพื้นที่สูง ที่ต้องพึ่งอากาศที่เย็นจะได้รับผลกระทบ เพราะเมื่อยิ่งสูงอากาศจะยิ่งเย็น ช่วยทำให้เมล็ดกาแฟบ่มสุกนานกว่า มีสารอาหารมากกว่า ทำให้ได้รสชาติที่เปรี้ยวซับซ้อน มีรสสัมผัส และกลิ่นที่ดีกว่า แต่ถ้าในอนาคตพื้นที่สูงเหล่านั้นต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น อาจทำให้กาแฟอย่างพวกอาราบิก้าที่ปลูกบนพื้นที่สูงมีรสชาติไม่เหมือนเดิม หรืออาจปลูกยากขึ้น ไม่มีผลผลิตไปเลยก็ได้ เพราะต้นกาแฟอาราบิก้ามีความไวต่อโรคและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น คอกาแฟอาจเสี่ยงไม่ได้พบกับความหลากหลายของรสชาติกาแฟแล้ว
ประการถัดมาคือเรื่องของ "แสงแดด" ที่มากเกินไปจะกดคุณภาพของกาแฟลดลง ปัจจัยในเรื่องของปริมาณแสงสำคัญมากกับต้นกาแฟ เพราะกาแฟเป็นพืชที่ไม่ชอบแสงแดดจัด และกาแฟแต่ละชนิดจะทนทานต่อสภาพแสงแดดที่แตกต่างกันไป บางชนิดถ้าได้รับแดดมากเกินไปอาจทำให้รสสัมผัสของกาแฟเปลี่ยน แต่ปัจจัยนี้ผู้ปลูกกาแฟสามารถแก้ได้เบื้องต้นด้วยการเพิ่มร่มเงาในพื้นที่เพาะปลูก แต่นั่นอาจหมายความว่าถ้าในอนาคตโลกร้อนขึ้น แดดแรงขึ้น ผู้ผลิตน่าจะต้องหานวัตกรรมหรือวิธีมารับมือ หรือช่วยบังแดดให้มากขึ้น จนต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และกระทบต่อราคาเมล็ดกาแฟในที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีกรณีศึกษาใน Colombia ที่เผยแพร่ในสารคดีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศใน Colombia กับผลกระทบต่อการผลิตกาแฟในประเทศ Colombia โดย Vox Media เปิดประเด็นน่าสนใจว่า รู้ไหม…โลกร้อนขึ้น 1 องศา ส่งผลต่อรสชาติกาแฟ
โดยผู้ประสบปัญหา เล่าว่ากว่าจะได้กาแฟมาแต่ละเมล็ดไม่ง่ายเลย ยิ่งภาวะโลกร้อน กระทบโดยตรงกับกาแฟ ประการแรก คือมีเกษตรกรที่ล้มเลิกการปลูกกาแฟ ตั้งแต่ปี 2013 มาถึงทุกวันนี้ ไม่น้อยกว่า 400,000 ครัวเรือน เนื่องจากโลกร้อนขึ้นทำให้มีแมลง และโรคพืชต่างๆ เกิดขึ้น ต้นทุนก็เพิ่มขึ้น เพราะกาแฟเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเยอะ กว่าจะปลูก ดูแล เก็บเกี่ยว จนมาถึงแก้วกาแฟ ต้องผ่านนิ้วมือมากกว่า 300 ครั้งต่อหนึ่งเมล็ด
ประการที่สอง คือปรากฏการณ์เอลนีโญ-ลานีญา ที่เกิดขึ้นในบราซิลและหลายๆ ประเทศ ทำให้สูญเสียกาแฟถึง 10,000,000 กระสอบ เพราะเจอโรคเชื้อรา ทำให้ต้นกาแฟทิ้งใบแห้งคาต้น หนึ่งในผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ซึ่งอากาศร้อนขึ้น 1 องศา จะทำให้ผลผลิตกว่า 30 เปอร์เซนต์ถูกทำลาย เพราะมอดวางไข่ได้เพิ่มขึ้นเติบโตได้ไวขึ้น จากเดิมมอดคู่หนึ่งใช้เวลา 3-4 เดือนกว่าจะมีลูกหลาน ปัจจุบัน 15 วันเอง นอกจากนั้นยังมีเรื่องของโรคเชื้อรา เมื่อต้นกาแฟอ่อนแอลง มันก็เข้ามาทำลาย ทำให้ไม่มีผลผลิต คุณภาพกาแฟที่จะสร้างความหลากลายทางรสชาติก็แย่ลง แมลงในสวนที่พร้อมจะผสมเกสรก็น้อยลง การวิจัยบอกว่า มีผึ้งมีแมลงที่ดี ผลผลิตจะเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซนต์ ระบบนิเวศจะแย่ลง ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าปัญหาภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว อีกทั้ง “กาแฟ” ก็ไม่ใช่พืชชนิดเดียวด้วยที่กำลังได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป ยังมีพืชเศรษฐกิจอื่นๆ อย่าง โกโก้ และองุ่นไวน์อีกที่รสชาติผลผลิตอาจเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน