
ยานพาหนะพลังงานงานไฟฟ้ากำลังจะเข้ามาทดแทนรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟอสซิล หรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในเร็ววันนี้ มีหลากหลายประเทศที่ประกาศยุติการใช้ และการผลิตรถยนต์ประเภทน้ำมันแล้ว ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้โหวตผ่านร่างพระราชบัญญัติด้วยคะแนน 339 ต่อ 249 เสียง ให้แบนการจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป
ร่างพระราชบัญญัตินี้มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ 100% ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปทั้ง 27 ประเทศ แปลว่ารถที่มีเครื่องยนต์ไม่ว่าจะเป็นเบนซิน, ดีเซล หรือไฮบริดทุกชนิด ก็ต้องหยุดขายทั้งหมด ทางด้านพรรคประชาชนยุโรป (European People's Party) ซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษนิยมได้พยายามขอยกเว้นรถไฮบริดให้ขายต่อได้ แต่ก็ไม่เป็นผล ส่วนพรรคกรีนก็อยากให้เลื่อนกำหนดการแบนเข้ามาเร็วขึ้นเป็นปี 2030 ก็ไม่เป็นผลเช่นกัน สำหรับประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เสนอประเทศไทยยกเลิกขายยานยนต์เครื่องยนต์ ภายในปี 2035 เช่นเดียวกัน
จากความเคลื่อนไหวที่พร้อมส่งผลอย่างมหาศาลต่อผู้ใช้รถในเวลานี้ นั่นคือ การประกาศการ เลิกผลิตรถใช้น้ำมัน ของค่ายรถประเทศต่างๆ และจะหันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแทนทั้งหมด และประกาศงดใช้รถน้ำมันไปโดยตลอดกาล ซึ่งหากโลกนี้เลิกใช้น้ำมันสำหรับรถยนต์ นั่นคือเราต้องซื้อรถคันใหม่หรืออย่างไร ต้องปรับตัวอย่างไร เราจึงชวนทุกคนมาติดตามสถานการณ์แห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมของแต่ละบุคคลต่อเหตุการณ์เหล่านี้อีกด้วย
ทำไมต้องเปลี่ยน ?
สาเหตุของการยกเลิกการผลิตรถยนต์ใช้น้ำมัน
เหตุผลสำคัญสำหรับการเลิกผลิตรถใช้น้ำมัน นั่นคือ ภาวะโลกร้อน ที่สถานการณ์ร้อนแรงและอันตรายเพิ่มมากยิ่งขึ้น ภาวะโลกร้อนนี้มีสาเหตุมาจากการเผาไหม้พลังงานเชื้อเพลิงทั้งจากถ่านหินและน้ำมันปล่อยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศจนเกิดความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกที่สูงมากยิ่งขึ้น จนทำให้เป็นปัญหาทั้งทางด้านมลพิษทางอากาศและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกจนทำให้ทุกประเทศเริ่มหันมาตระหนักและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างล้นหลาม
ดังนั้น นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา รัฐบาลแต่ละประเทศและค่ายรถแต่ละแห่งเริ่มต้นวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ที่ใช้พลังงานสะอาดออกมาใช้งาน ทั้งการผลิตรถยนต์ใช้พลังงานน้ำของ Honda ที่สร้างความฮือฮามาแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจผลิตออกมาจำหน่ายได้
จนกระทั่งการมาของรถยนต์ไฟฟ้ากลายมาเป็นคำตอบของทุกสิ่ง เพราะในปัจจุบันพลังงานไฟฟ้าสามารถผลิตได้ในหลายรูปแบบและยังถือเป็นพลังงานสะอาดอีกด้วย และค่ายรถแต่ละแห่งเริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบรถของตนเองจาก รถยนต์น้ำมัน มาสู่รถยนต์ที่ใช้ทั้งพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า จนมาถึงรถยนต์ไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์นั่นเอง
และนั่นเองจึงทำให้แทบทุกประเทศทั่วโลกประกาศเลิกผลิตและจำหน่ายรถยนต์ใช้พลังงานน้ำมันในปี 2035 โดยประเทศในเครือสหภาพยุโรปได้ตั้งเป้าอย่างจริงจังในการลดการใช้พลังงานน้ำมันลง เพราะพวกเขาคือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นอกจากนั้น บรรดาค่ายรถต่างๆ พากันขานรับนโยบายนี้โดยประกาศไม่ผลิตรถพลังงานน้ำมันอีกต่อไปด้วย
สิ่งที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้ใช้รถ หากโลกนี้เลิกใช้รถน้ำมัน
สิ่งที่เป็นคำถามสำคัญสำหรับคนใช้รถโดยทั่วไปคือ เมื่อโลกเลิกใช้น้ำมันแล้วคนใช้รถทั่วไปอย่างเราเล่าต้องทำอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการประกาศตัวของประเทศไทยที่จะงดการจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปี พ.ศ. 2578 หรือปี 2035 กับความพยายามอย่างจริงจังในอีก 12 ปีข้างหน้า
นั่นหมายความว่านับจากนี้เป็นต้นไปคือจุดเปลี่ยนแห่งเวลาและการตัดสินใจเลือกซื้อรถที่สำคัญ เพราะนั่นหมายความว่า หากใครเลือกซื้อรถน้ำมันในช่วงนี้ หมายถึง ในปี พ.ศ. 2578 รถเหล่านี้จะกลายเป็นเศษเหล็กไร้ค่าไปในทันทีเพราะว่าไม่มีพลังงานน้ำมันให้ใช้แล้ว จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง และทางผู้ใช้รถทุกคนต้องเตรียมตัวต่อความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ซึ่งเราได้พิจารณาเรื่องราวต่างๆ ที่จะกลายเป็นคำถาม และได้สรุปออกมาข้อสงสัยของผู้ใช้รถในประเทศไทยได้ดังต่อไปนี้
การชดเชยในเรื่องของผู้ใช้รถน้ำมัน
คำถามแรกที่เกิดขึ้นมาอย่างแน่นอนสำหรับผู้ใช้รถยนต์น้ำมันในปัจจุบันนี้ คือหากมีการออกกฎหมายบังคับงดจำหน่ายรถใช้น้ำมัน และไม่มีน้ำมันให้ใช้อีกต่อไป การชดเชยในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่จะมีหรือไม่ เพราะรถยนต์แต่ละคันมีอายุการใช้งาน 10-20 ปี ทั้งสิ้น
และการใช้รถของคนไทยส่วนใหญ่ซื้อมาแล้วเน้นการใช้งานในระยะยาว และเมื่อมีประกาศเช่นนี้ออกมา หมายถึงว่าทุกปีนับจากนี้คือการนับเวลาถอยหลังที่จะไม่มีน้ำมันเติม ดังนั้นหากต้องการให้ทุกคนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันทั้งหมด จะมีมาตรการรองรับสำหรับการเปลี่ยนรถยนต์ใหม่อย่างไร เพราะรถแต่ละคันมีมูลค่าในการซื้อขายจำนวนไม่น้อย
ระยะเวลาสำหรับการผ่อนปรนหลังจากงดขายรถน้ำมัน
และแน่นอนว่า ค่ายรถแต่ละแห่งยังคงผลิตรถยนต์สำหรับการใช้พลังงานน้ำมันออกมาในช่วงเวลานี้ และหากเลือกซื้อรถพลังงานน้ำมันที่เข้าใกล้ช่วงเวลาดังกล่าว จะมีการยืดระยะการใช้รถยนต์พลังงานน้ำมันต่อไปหรือไม่ หรือว่าจะเลิกใช้ไปเลยในทันที
ในเรื่องนี้ยังไม่เห็นความชัดเจนใดๆ ในการจัดการ หากการประกาศนี้หมายถึงไม่มีน้ำมันใช้ในทันที ภาระต่างๆ จะตกมาถึงเจ้าของรถอย่างเสียไม่ได้ ดังนั้นจะมีมาตรการในการผ่อนปรนให้ใช้รถพลังงานน้ำมันต่อไปอีกสักช่วงหรือไม่ นี่ยังคงเป็นความคลุมเครืออยู่ในเวลานี้
การตัดสินใจเลือกซื้อรถในเวลานี้
ระยะเวลา 12 ปีข้างหน้าสำหรับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการใช้รถยนต์ของประเทศไทย การเปลี่ยนถ่ายจากพลังงานน้ำมันสูงการใช้พลังงานไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องที่ยาวนานมากนัก ดังนั้น คำถามสำคัญสำหรับผู้บริโภคในเวลานี้คือ จะซื้อรถยนต์พลังงานน้ำมันต่อไปดีไหม ?
เพราะการบังคับใช้ทุกอย่างยังไม่ชัดเจน หากซื้อไปแล้วนำไปใช้ต่อไม่ได้ จะเป็นการจ่ายเงินไปอย่างไร้คุณค่าหรือไม่ประการใด และที่สำคัญค่ายรถยนต์แต่ละแห่งที่ยังคงมีรถยนต์พลังงานน้ำมันอยู่ในมือจะทำอย่างไร นับเป็นคำถามสำคัญที่ต้องมีคำตอบให้ชัดเจนสำหรับ 12 ปีข้างหน้า
ขยะรถยนต์น้ำมันจัดการอย่างไร ?
สิ่งที่ยังไม่มีการพูดกันมากนักหากประเทศไทยงดใช้น้ำมันอย่างถาวรนั่นคือ จำนวนรถที่ไม่อาจใช้งานได้อีกต่อไปจะทำอย่างไรกันต่อ ซึ่งในปัจจุบันรถยนต์พลังงานน้ำมันที่ถูกจดทะเบียนในประเทศไทยมีมากถึง 42 ล้านคันและเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลถึง 11 ล้านคัน นั่นหมายความว่า เมื่อถึงปี พ.ศ. 2578 หรือปี 2035 นี่คือปัญหาสำคัญเกี่ยวกับระบบการจัดการที่รออยู่ ซึ่งในต่างประเทศมีแผนการรองรับสำหรับเรื่องนี้กันไว้แล้ว แต่ที่สำคัญในประเทศไทยความชัดเจนในเรื่องนี้ยังไม่มีเลย
การทำประกันรถยนต์ของรถยนต์ไฟฟ้า
อีกหนึ่งความกังวลสำหรับคนรักรถในเวลานี้คือ การต้องการทราบถึงระบบการทำประกันของรถยนต์ไฟฟ้า รูปแบบการดูแล การให้บริการ และกรมธรรม์สำหรับการคุ้มครองรถนั้นจะยังคงเป็นรูปแบบเดิมอยู่หรือไม่ เพราะอุปกรณ์สำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าคือ แบตเตอรี่ และตัวประจุไฟ
ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้คือวัสดุสิ้นเปลืองที่อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย เพราะจากสถานการณ์ปัจจุบัน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นมีอายุการใช้งานที่ต่ำ นั่นหมายถึงอาจต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่กันใหม่ทุก 3 ปี และแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ายังคงมีราคาสูงมาก แล้วแบบนี้การทำประกันรถยนต์ไฟฟ้าจะออกมาในรูปแบบไหน
นับเป็นสถานการณ์แห่งความท้าทายต่อความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของทุกคนบนโลก แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องมาถึงในที่สุด เพราะเป็นการทำเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนที่มีอยู่อย่างยาวนาน และปัญหาโลกร้อนนี้เองก็สร้างผลกระทบไปทั้งโลก ไม่ว่าจะกับสัตว์หรือมนุษย์ ทั้งกับคนที่ใช้รถและไม่ได้ใช้รถ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของผู้ใช้รถเพื่อตัวคุณ และเพื่อทุกคนบนโลก จึงเป็นเรื่องที่ควรทำร่วมกันอย่างมีมนุษยธรรม ผ่านการวางแผนจัดการและเตรียมรับมือกับผลกระทบทุกขั้นตอนอย่างมีระบบ ผู้ใช้รถทุกคนควรได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ยอมรับได้ เพื่อให้ผลลัพธ์ของการร่วมกันเปลี่ยนแปลงนี้ออกมาเป็นการทำให้โลกนี้อยู่ต่อไปได้นานขึ้นและดีขึ้น สำหรับสิ่งมีชีวิตทุกคนและทุกตัวบนโลก
source : EU lawmakers back ban on new fossil-fuel cars from 2035 , roojai