ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เดินทางถึงสนามบินในกรุงฮานอยเมื่อเวลา 1.45 น. ของวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น โดยมีคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเวียดนามให้การต้อนรับ การเยือนครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 ของปูติน หลังจากครั้งที่แล้วเยือนในปี 2560 และเวียดนามเป็นจุดหมายที่ 3 ของการเยือนต่างประเทศ นับจากปูตินเข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 5 หลังจากเพิ่งเยือนเกาหลีเหนือเมื่อวันพุธ และจีนในเดือนพฤษภาคม
เวียดนามจัดพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการที่ทำเนียบประธานาธิบดีในช่วงเที่ยงวัน โดยมีการยิงสลุต 21 นัด และประธานาธิบดีโต เลิม และประธานาธิบดีปูติน ร่วมตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ หลังจากนั้นทั้งสองเข้าร่วมหารือร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองฝ่าย
ประธานาธิบดีโต เลิม กล่าวแสดงความยินดีที่ปูตินได้รับตำแหน่งอีกสมัย และยกย่องความสำเร็จของรัสเซีย ซึ่งรวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ และปูติน บอกด้วยว่า การเสริมความเข้มแข็งของหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ครอบคลุมกับเวียดนามเป็นหนึ่งในวาระสำคัญของรัสเซีย
นอกจากนี้ผู้นำรัสเซียยังมีกำหนดหารือกับผู้นำเวียดนามอีกหลายคนในวันนี้ ซึ่งรวมถึงเหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และนายกรัฐมนตรีฝั่ม มิญ จิ๊ญ ในวันนี้
สื่อรัสเซีย รายงานว่า การเยือนเวียดนามครั้งนี้จะมุ่งกระชับความสัมพันธ์ของสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเป็นโอกาสให้ผู้นำทั้งสองฝ่ายหารือและเสนอมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ทั้งสองจะออกแถลงการณ์ร่วม และประกาศข้อตกลงความร่วมมือหลายฉบับทั้งในด้านการค้า เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และมนุษยธรรม
ปูตินลงบทความในสื่อเวียดนามก่อนการเยือน โดยมีเนื้อหาขอบคุณเวียดนามที่วางตัวเป็นกลางต่อปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครน หลังจากเวียดนามไม่เคยประณามหรือแสดงท่าทีคัดค้านการทำสงครามของรัสเซียในยูเครน
ขณะเดียวกันโฆษกสถานทูตของสหรัฐฯ ประจำกรุงฮานอย ออกมาเตือนเวียดนามว่า ไม่ควรมีประเทศใดให้รัสเซียใช้เป็นเวทีเรียกเสียงสนับสนุนการทำสงครามรุกรานยูเครน
แต่ทางการเวียดนาม ระบุว่า การเยือนเวียดนามของปูตินสะท้อนถึงการดำเนินนโยบายต่างประเทศของเวียดนามด้วยจิตวิญญาณอิสระ และส่งเสริมระบบพหุภาคี
เวียดนามมีนโยบายต่างประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และไม่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการใด ๆ รวมทั้งยังดำเนินนโยบายการทูตไผ่ลู่ลม ที่สามารถโอนอ่อนไปตามกระแสลมของการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ โดยไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง ทำให้เวียดนามสามารถเป็นมิตรกับชาติมหาอำนาจที่เป็นคู่แข่งกัน อย่าง รัสเซีย สหรัฐฯ และจีน ที่ล้วนเป็นชาติคู่ค้าสำคัญของเวียดนาม
เวียดนามมีความสัมพันธ์ยาวนานกับรัสเซียตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียต ที่ให้การสนับสนุนทั้งทางทหาร เศรษฐกิจ และการทูตแก่เวียดนามเหนือในช่วงทศวรรษ 1950 และเวียดนามยังคงพึ่งพาอาวุธจากรัสเซีย โดยตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา เวียดนามนำเข้าอาวุธจากรัสเซียเกือบ 80% และปีนี้ยังเป็นวาระสำคัญครบรอบ 30 ปี ของสนธิสัญญาไมตรีระหว่างเวียดนามและรัสเซียอีกด้วย
ขณะที่ปัจจุบันสหรัฐฯ มองว่า เวียดนามเป็นศูนย์กลางสำคัญที่จะใช้ต้านทานอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้ และเป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก และเวียดนามยังเป็นแหล่งซัพพลายเชนสำคัญนอกเหนือจีนอีกด้วย