ที่ผ่านมา อิหร่านถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทสำคัญ ท่ามกลางสถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้นรอบด้าน ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีเอบราฮิม ไรซี ที่สร้างจุดยืนและการตอบสนองทั้งต่อสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาส และรัสเซียกับยูเครน ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับอิหร่าน ที่ต้องสูญเสียผู้นำประเทศ จากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเมื่อวันอาทิตย์ (19 พฤษภาคม)
ย้อนกลับไปเมื่อสามปีที่แล้ว เอบราฮิม ไรซี สามารถชนะการเลือกตั้งและคว้าตำแหน่งประธานาธิบดี แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตถึงจำนวนผู้มาเลือกตั้งที่น้อยผิดปกติ แต่เขาก็เข้ารับตำแหน่งผู้นำอิหร่านอย่างเป็นทางการในที่สุด หลายคนมองว่านั่นคือก้าวสำคัญสู่ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่กว่า คือการเป็นผู้สืบทอดทางการเมืองของ อยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุด ที่มีอำนาจการตัดสินใจขั้นสุดท้ายต่อนโยบายของประเทศอย่างแท้จริง
แม้จะดูเหมือนเป็นหุ่นเชิดของผู้นำสูงสุด แต่ 3 ปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไรซี ได้แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้นำสายอนุรักษ์นิยมทางศาสนา ที่มีความแข็งกร้าวในการแก้ปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทั้งยังนำพาอิหร่านเข้าสู่การมีบทบาทสำคัญในสงคราม อย่างการสั่งโจมตีอิสราเอลเพื่อตอบโต้การลอบสังหารนายพลคนสำคัญ และการจัดหาอาวุธให้กับรัสเซีย
การถึงแก่อสัญกรรมของไรซี ได้สั่นคลอนการเมืองอิหร่านอย่างรุนแรง เพราะรัฐบาลจำเป็นจะต้องมีประธานาธิบดีคนใหม่ ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังมีส่วนร่วมในสงครามระดับภูมิภาค ขณะที่ศัตรูสำคัญ รวมถึงสหรัฐฯ อิสราเอล และซาอุดีอาระเบียกำลังพิจารณาที่จะกระชับความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ที่สำคัญ คือปัญหาเศรษฐกิจที่อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์มองว่า ไม่ใช่ช่าวอิหร่านทุกคนที่จะไว้อาลัยให้กับการจากไปของเขา เพราะหลายคนอาจจดจำประธานาธิบดีผู้นี้ ในฐานะผู้พิพากษาที่สั่งจำคุกศัตรูทางการเมืองหลายพันคน และผู้นำที่จัดการปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร้เหตุผล ด้วยการทุ่มงบประมาณส่วนใหญ่ไปกับการทหารและศาสนา
ตามรัฐธรรมนูญของอิหร่าน มาตรา 131 กำหนดให้รองประธานาธิบดีมูฮัมหมัด ม็อคเบอร์ ที่เคยมีบทบาทสำคัญในการทำทุกวิถีทางให้ไรซีชนะการเลือกตั้ง ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราว และทำงานร่วมกับหัวหน้าฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ เพื่อเตรียมการเลือกตั้งประธานาธิบดี "ภายในระยะเวลาสูงสุด 50 วัน"