การออมแสง (Daylight Saving Time) คือ การเลื่อนเข็มนาฬิกาไปข้างหน้าเป็นเวลา 1 ชั่วโมงในช่วงฤดูร้อน เพื่อให้ได้รับแสงธรรมชาตินานขึ้นในช่วงเย็น โดยหลายประเทศในอเมริกาเหนือและยุโรปต่างปฏิบัติตามหลักการนี้ แต่ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยเฉพาะที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรไม่ได้ทำตาม ทำให้มีประเทศที่ปรับเวลาเพื่อการออมแสงราว 70 ประเทศ หรือประมาณ 40% ของจำนวนประเทศทั่วโลก
สำนักข่าว AP รายงานว่า ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1890 นักดาราศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ "จอร์จ เวอร์นอน ฮัดสัน" เสนอให้มีการปรับเวลาในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เพื่อเพิ่มเวลาที่คนเราจะได้เห็นแสงแดดเพิ่มขึ้น ต่อมาในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 1900 วิลเลียม วิลเล็ต ผู้มีอาชีพรับสร้างบ้าน สนับสนุนแนวคิดนี้เพราะเห็นว่าผู้คนไม่ได้ใช้ประโยชน์จากช่วงวันที่ยาวขึ้นมากพอ แต่ข้อเสนอของทั้งสองคนไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติใช้จริงในทันที จนกระทั่งเยอรมนีเริ่มนโยบายออมแสงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อหวังช่วยประหยัดพลังงาน ทำให้สหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ ตัดสินใจทำตาม
ปัจจุบันทุกรัฐของสหรัฐฯ ยกเว้นฮาวายกับอะแลสกา ปรับเวลาล่าสุดเมื่อเวลา 02.00 น.ของวันอาทิตย์ (10 มีนาคม) โดยเข็มสั้นปรับเร็วขึ้นไปเป็น 03.00 น. ทำให้สูญเสียเวลานอนไป 1 ชั่วโมง แต่ผู้คนจะมีเวลาใช้ชีวิตในช่วงกลางวันที่ยาวขึ้น ในช่วงที่มีการเปลี่ยนฤดูกาลจากฤดูหนาวไปสู่ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน
เว็บไซต์ "ไทม์แอนเดท" (timeanddate.com) ที่เสนอข้อมูลเกี่ยวกับเวลา โซนของเวลา (time zone) และดาราศาสตร์ ระบุว่าการปรับเวลาเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง อาจทำให้ระบบในร่างกายคนเราปั่นป่วนไปบ้าง แต่ข้อดีก็คือจะมีเวลาเพิ่ม 1 ชั่วโมง เพื่อใช้ชีวิตนอกบ้านภายใต้แสงแดดอบอุ่น ออกกำลังกายและกิจกรรมอื่น ๆ
ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับการปรับเวลาที่เกิดขึ้นปีละ 2 ครั้ง และเสนอให้ใช้เวลามาตรฐานเดียวตลอดทั้งปี แต่ก็ไม่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด