'ฮุน เซน' เซอร์ไพรซ์ ดัน 'ฮุน มาเนต' เป็นนายกฯ

ผู้นำกัมพูชาที่จะมีวัย 71 ปี ในเดือนหน้า กล่าวเรื่องนี้ในระหว่างให้สัมภาษณ์ Phoenix TV ของจีน ที่ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ (21 กรกฎาคม 2566) โดยบอกว่า

"ในอีก 3-4 สัปดาห์ ฮุน มาเนต จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี มันขึ้นอยู่กับว่าฮุน มาเนต จะสามารถทำได้หรือไม่" 

ความมั่นใจของฮุน เซน มีมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ที่กำหนดจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคมนี้ และยังคาดการณ์ด้วยว่าพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของเขา จะได้รับชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ และยังกำหนดให้วันที่ 29 สิงหาคม 2566 เป็นวันทำพิธีสาบานตนของรัฐบาลชุดใหม่ด้วย 

ส่วนหนึ่งของความมั่นใจเต็มร้อยของฮุน เซน นาจะเกิดจากการที่พรรค CPP จะได้รับชัยชนะโดยปราศจากคู่แข่ง เมื่อพรรคแสงเทียน (Candlelight Party) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียวได้ถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว และแม้ยังมี 17 พรรคการเมือง ในบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง แต่ก็ล้วนเป็นพรรคขนาดเล็กที่ไม่น่าจะแย่ง 125 ที่นั่ง ในสมัชชาแห่งชาติหรือสภาผู้แทนราษฎรได้เลย 



เมื่อเส้นทางปลอดโปร่งขนาดนี้ ทุกฝ่ายย่อมจับตาไปที่ฮุน เซน ว่าจะวางมือให้ลูกชายคนโตขึ้นมาสืบทอดอำนาจได้หรือยัง ซึ่งฮุน มาเนต มีอายุ 45 ปีแล้ว และเป็นนายพล 4 ดาว ที่จบการศึกษาจากจากวิทยาลัยการทหารแห่งสหรัฐอเมริกา (West Point) เมื่อปีการศึกษา 2542 ทำให้เขากลายเป็นบัณฑิตชาวกัมพูชาคนแรกของสถาบันนี้ และเป็นหนึ่งในนักเรียนนายร้อยต่างชาติเพียง 7 คน ที่สำเร็จการศึกษาในปีนั้น จากนั้นได้ไปศึกษาต่อด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก จนจบปริญญาโท ตามด้วยการการศึกษาต่อในสาขาเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยบริสตอลของอังกฤษ เมื่อปี 2551 จนจบปริญญาเอก

แม้จะเป็นที่คาดหมายว่า ฮุน มาเนต จะเข้ารับอำนาจบริหารประเทศต่อจากพ่อของเขาที่ปกครองกัมพูชามาเกือบ 4 ทศวรรษ แต่ยังไม่มีการเปิดเผยกรอบเวลาที่ชัดเจนมาก่อน แต่การเปิดตัวในสนามการเมืองอย่างเต็มตัวในศึกเลือกตั้งทั่วไปของกัมพูชาในวันอาทิตย์นี้ โดยที่ พรรค CPP แทบจะไร้คู่แข่ง กลายเป็นเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบที่พ่อของเขาเตรียมไว้ให้

ยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ฮุน มาเนต จะเป็นผู้นำแบบใด เพราะเขาได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การศึกษาและใช้ชีวิตในประเทศประชาธิปไตยฝั่งตะวันตก แต่ขณะเดียวกันก็คุ้นชินกับอำนาจการบริหารของพ่อในกัมพูชา



ตอนที่หาเสียง ฮุน มาเนต บอกกับผู้นำสนับสนุนว่า

"ประชาชนพร้อมลงคะแนนให้พรรค CPP เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศจะมีอนาคตที่สดใสและมั่งคั่งไปถึงคนรุ่นต่อไป"