Climate Change แพะรับบาปแทน 'จัสติน ทรูโด'
ไฟป่าในแคนาดาที่ลุกลามไปปกคลุมท้องฟ้าในหลายรัฐของสหรัฐฯ รวมทั้งเมืองหลวงอย่างวอชิงตัน ดีซี และเมืองศูนย์กลางทางธุรกิจอย่างนิวยอร์ก กำลังเป็นเด็นร้อนแรงที่นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ต้องเอาตัวรอดด้วยการโทษ "Climate Change"
นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด กำลังตกเป็นเป้าโจมตีเรื่องการบริหารจัดการ "ไฟป่า" ที่เผาผลาญพื้นที่ป่าของแคนาดา ที่เขาพยายามแก้ต่างว่าเป็นเรื่องที่เหนือความควบคุมด้วยเพราะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ อันเป็นผลมาจาก "Climate Change" แต่ก็มีคนที่เห็นข้อบกพร่องที่ว่า เขามัวแต่ไปให้ความสำคัญกับประเด็นร้อนในเวทีโลกอย่างสงครามที่ยูเครน หรือความขัดแย้งในทะเลจีนใต้มากเกินไป จนละเลยปัญหาภายในประเทศหรือไม่ เพราะผู้เชี่ยวชาญเตือนมาหลายปีแล้วว่า แคนาดาจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการป่าที่ดีกว่านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ที่ไฟป่าได้แผ่ขยายไปในหลายพื้นที่ของแคนาดา โดยเฉพาะควิเบคและออตตาวา ทำให้ต้องมีการอพยพครั้งใหญ่ และเผาผลาญพื้นที่ป่าไปมากกว่า 3.3 ล้านเฮคแตร์ (20.6 ล้านไร่) กว้างใหญ่กว่าพื้นที่ของรัฐแมรีแลนด์ของสหรัฐฯ แต่ทรูโดซึ่งเป็นผู้นำรัฐบาลถูกมองว่า กำลัง "โยนความผิด" ทั้งหมดให้ "Climate Change" หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และเพิกเฉยต่อข้อสันนิษฐานใด ๆ ที่ระบุว่า การจัดการป่าไม้ที่ไม่ดีอาจมีบทบาทสำคัญที่สถานการณ์ที่เลวร้ายในขณะนี้
การเพ่งเล็งไฟป่าของแคนาดา เริ่มขึ้นเมื่อกลุ่มควันที่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจพัดไปทางใต้ ส่งผลให้นครนิวยอร์กของสหรัฐฯ มีสภาพอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากที่สุดในโลก ต้องยกเลิกอีเวนต์กลางแจ้ง ประชาชนได้รับคำแนะนำไม่ให้ออกไปอยู่กลางแจ้ง หรือถ้าจำเป็นก็ต้องสวมหน้ากากอนามัย สนามบินลากาเดีย (LaGuardia Airport) ระงับเที่ยวบิน สร้างความโกลาหลทั้งในสหรัฐฯ และสนามบินอื่น ๆ
หมอกพิษยังลุกลามไปหลายรัฐเป็นพื้นที่คร่อมประเทศ โดยแม้จะส่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าไปช่วยแคนาดาถึง 600 นาย แต่น่านฟ้าของสหรัฐฯ ก็ยังถูกปกคลุมด้วยหมอกพิษสีส้ม รวมทั้งเมืองหลวงอย่างวอชิงตัน ดีซี ส่งผลให้เที่ยวบินถูกยกเลิก ประชาชนได้รับคำเตือนไม่ให้ออกนอกบ้าน บริษัทหลายแห่งให้พนักงานทำงานที่บ้าน การสัญจรบนถนนเบาบาง การโดยสารรถไฟแออัดน้อยกว่าปกติ บริการของเทศบาลที่ไม่จำเป็นถูก ระงับ เช่น การดูแลสวนสาธารณะและงานสันทนาการ การก่อสร้างถนน การเก็บขยะ ยกเลิกกิจกรรมสำคัญ เช่น การแข่งขันเบสบอลระดับชาติ ทำเนียบขาวเลื่อนจัดงาน "Pride Month" ที่คาดว่าจะเป็นงานฉลอง "LGBTQ+" ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับชาวทำเนียบขาว และปิดสวนสัตว์อย่างไม่มีกำหนด
แม้จะไม่สามารถระบุ "ต้นตอ" ของไฟป่าได้ แต่ทางการแคนาดาได้รับคำเตือนมาหลายปีแล้วว่า การจัดการป่าที่ดี จะช่วยหลีกเลี่ยงไม่ได้เกิดหายนะได้ โดยหลังจากเกิดไฟป่าเมื่อปี 2560 มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ออกมาหลายฉบับ ที่แนะนำให้ปรับปรุงการจัดการป่าไม้ในแคนาดา และเพิ่มงบประมาณเพื่อรับมือกับความเสี่ยง แต่อุทยานต่าง ๆ ของแคนาดากลับควบคุมการเผาไหม้ตามกำหนด (scheduled) ได้เพียง 23 ครั้งในปีนี้ เทียบไม่ติดกับของสหรัฐฯ ที่ควบคุมได้ 150,000 ครั้ง เมื่อปี 2562
การควบคุมการเผาไหม้ตามกำหนด (scheduled) หมายถึงไฟที่ถูกควบคุมการลุกลามให้อยู่ในขอบเขตที่กำหนดเอาไว้เท่านั้น แต่ไฟป่าของแคนาดาเป็นแบบลุกลามอย่างอิสระ ไร้การควบคุม (prescribed) เป็นข้อบ่งชี้ถึงการบริหารจัดการป่าที่ไม่ดี ทำลายป่าที่มีต้นอ่อน พุ่มไม้แห้ง และหญ้าในพื้นที่ควบคุม
เมื่อปี 2559 มาร์ค เฮลธ์คอตต์ เจ้าหน้าที่ที่กำกับดูแลอุทยานและไฟป่าของแคนาดา มานาน 23 ปี ให้ความเห็นว่าวิธีการควบคุมไฟป่าของแคนาดา ล้าหลังสหรัฐฯ ที่เป็นเพื่อนบ้านอยู่มาก การแก้ปัญหาล้วนมีแค่ลมปากแต่แทบจะไม่มีหน่วยงานใดลงมือทำ ผู้คนไม่เข้าใจประโยชน์ของไฟ
ด้านทรูโดก็ไม่ได้สนใจปัญหาในเชิงลึกแต่เลือกที่จะโทษ "Climate Change" การแก้ปัญหาของเขาคือการโพสต์ลงทวิตเตอร์ว่า
"ไฟเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวัน ชีวิตความเป็นอยู่ และคุณภาพอากาศของเรา"
"เราจะทำงานต่อไป ทั้งที่บ้านและกับพันธมิตรทั่วโลก เพื่อจัดการกับ Climate Change และผลกระทบ"
เมื่อปี 2564 ชนเผ่าต่าง ๆ และผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ในบริติช โคลัมเบีย ได้เรียกร้องให้รัฐบาลทำอะไรมากกว่านี้ โดยเปรียบเทียบว่าเวลาเกิดไฟป่ามันง่ายเหมือจุดไม่ขีดไฟ แต่เวลาจะดับต้องใช้อุปกรณ์หนัก พวกเขาต้องการหัวดับเพลิงขนาดใหญ่ เครื่องมือจำนวนมาก และบุคลากรที่เชี่ยวชาญ
จนถึงตอนนี้แคนาดาก็ยังให้คำตอบไม่ได้ว่า เกิดไฟป่าในลักษณะของ "prescribed burns" ไปกี่ครั้งกี่หนแล้วในปีนี้ก่อนจะถึงฤดูไฟป่าที่แท้จริง หรือได้รับคำเตือนมากี่ครั้งแล้ว