ประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา แห่งบราซิล เดินทางมาถึงจีน ถือเป็นการกลับมาของบราซิลในการสร้างเสริมสัมพันธ์ทางการทูตกับกลุ่มประเทศในซีกโลกใต้ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ยังเป็นการเปิดเผยให้ชาวโลกเห็นว่า บราซิลพยายามจะกันตัวเองออกจากปัญหาทางภูมิศาสตร์การเมืองโลก ซึ่งกำลังครอบงำตะวันตกอยู่ในเวลานี้
เนื่องจากการเยือนจีนของผู้นำบราซิลในครั้งนี้ คาดว่า ปัญหารัสเซียบุกยูเครน จะไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ทั้งที่ประเด็นนี้ เป็นบทสนทนาทางการทูตที่ยุโรปและสหรัฐหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันอย่างมาก
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การที่ผู้นำบราซิลจะไม่พูดคุยประเด็นสงครามยูเครน เท่าที่รู้มา คือ เป็นความต้องการจากทางฝั่งรัฐบาลจีน แต่มันก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่บราซิลพร้อมจะหยิบยกขึ้นมาพูดคุย ส่วนแถลงการณ์ร่วมของสองชาติ ก็อาจมีประเด็นยูเครนรวมอยู่ด้วย แต่น่าจะเหมือนเดิม คือ การเรียกร้องให้แก้ปัญหาอย่างสันติ และให้ไกล่เกลี่ยกันทางการทูต แต่น่าจะไม่มีส่วนขยายใดใดเพิ่มเติมในประเด็นนี้
การเยือนจีนในครั้งนี้ ประเด็นพูดคุยน่าจะมุ่งเน้นไปที่การค้า การลงทุนจากจีนจะช่วยให้เศรษฐกิจบราซิลพลิกฟื้นได้อย่างไร และประเด็นคาร์บอนเครดิต หรือ การที่เราปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ไม่ถึงขีดระดับที่ตั้งไว้ ก็จะทำให้เรานำส่วนต่างตรงนั้น ไปขายต่อในตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต ให้บุคคล หรือ องค์กรอื่น ที่อยากมีสิทธิปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่านี้ มาซื้อสิทธิจากเราไป
การค้าระหว่างจีนกับบราซิล คึกคักมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา จีนเป็นหุ้นส่วนการค้าหลักของบราซิลตั้งแต่ปี 2009 แค่ปีที่แล้วเพียงปีเดียว ( 2022 ) ก็นำเข้าสินค้าจากบราซิล ทั้ง ถั่วเหลือ
ง แร่เหล็ก น้ำมัน คิดเป็นมูลค่า 9 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาท และในเวลาเดียวกัน บราซิลก็เป็นประเทศที่ให้จีนเข้ามาลงทุนใหญ่เป็นอันดับสองในแถบละตินอเมริกา และเป็นตลาดใหญ่สุดของสินค้าจีนในอเมริกาใต้
การเยือนจีนหนนี้ ทางฝั่งของผู้นำบราซิล ตั้งเป้าจะลงนามข้อตกลงทวิภาคี 20 รายการ ซึ่งก็รวมถึง โครงการให้ธนาคารบราซิลใช้เงินหยวนในภาคธุรกิจ ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว ก็เพิ่งมีกลุ่มแกนนำนักธุรกิจบราซิลหลายร้อยคน แห่เดินทางมาจีน ประธานาธิบดีบราซิลเคยมีแผนจะเดินทางมาพร้อมกันด้วย แต่เลื่อนไปเพราะปัญหาสุขภาพ
คาดว่า จีนกับบราซิลยังจะได้ลงนามแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับวิกฤติสภาพอากาศ โดยบราซิลอาจจะขายสิทธิคาร์บอนเครดิตให้จีน เพราะจีนในเวลานี้ ถือเป็นผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตใหญ่สุดรายหนึ่งในตลาด ทั้งที่ก็ตั้งเป้าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหลือแค่ศูนย์ ก่อนปี 2060
ส่วนบราซิล เนื่องจากมีป่าอะเมซอนผืนใหญ่ จึงช่วยให้บราซิลดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศได้มากถึง 15% ของโลก และยิ่งบราซิลดูดซับคาร์บอนได้มากเท่าไหร่ นั่นก็คือ สิทธิที่จะนำไปแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้ในตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต และที่ผ่านมา ผู้นำบราซิลก็ให้คำมั่นจะลดการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ครึ่งหนึ่งมีสาเหตุมาจากการทำลายป่าไม้
ข้อตกลงขายคาร์บอนเครดิตให้จีน จะทำให้บราซิลเป็นผู้นำในเรื่องนี้ ท่ามกลางกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่อยากจะเดินตามรอยบ้าง
หลายปีมาแล้ว ที่ประเทศในแถบแอฟริกา ละตินอเมริกาและเอเชียใต้ พร่ำบ่นถึงต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ในการเปลี่ยนมาใช้พลังงานที่สะอาด และต้องการให้ชาติที่พัฒนาแล้วยื่นมือเข้าช่วย โดยการลดหนี้ต่างประเทศ หรือ ส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน
ประธานาธิบดีคนก่อนของบราซิล ดูจะเพิกเฉยเกี่ยวกับประเด็นการตัดไม้ทำลายป่า แต่ ลูลา ผู้นำบราซิลคนปัจจุบัน ตั้งเป้าจะเดินหน้าต่อ นักวิเคราะห์มองว่า ถ้าพูดถึงประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ บราซิลอาจดูไม่มีบทบาทเมื่อเทียบกับยุโรป และสหรัฐ แต่บราซิลจะรับบทนำขึ้นมาทันทีในเวทีโลก เมื่อพูดถึงการปกป้องป่าอะเมซอน และบราซิลก็จะเป็นแกนนำในการชักชวนให้กลุ่มประเทศที่มีผืนป่าอะเมซอนร่วมกัน มาพูดคุยกันเพื่อปกป้องป่าผืนนี้ ภายใต้การสนับสนุนด้านเงินทุนจากประเทศที่พัฒนาแล้ว
นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดคาร์บอนเครดิตจะบูมมากในทศวรรษนี้ จากมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3 หมื่น 4 พันล้านบาท เมื่อปี 2021 พุ่งเป็น 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.4 ล้านล้านบาท ก่อนปี 2030 ข้อตกลงที่บราซิลทำกับจีน ยังอาจส่งสารไปถึงสหรัฐและกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ที่ไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าใดนักกับกลุ่มประเทศในซีกโลกใต้
ผู้นำบราซิลเพิ่งเดินทางเยือนสหรัฐเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยหวังว่า รัฐบาลสหรัฐจะเข้าร่วมกับกองทุนระหว่างประเทศ ปกป้องผืนป่าอะเมซอน แต่ก็ไม่ค่อยเป็นผล และแม้รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ให้คำมั่นจะข้องเกี่ยวกับละตินอเมริกาให้ลึกซึ้งขึ้นกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำคนก่อน แต่ผลที่ออกมายังไม่เป็นรูปธรรมนัก